เลือกตั้งและการเมือง

“เท่าพิภพ” ลั่น อำนาจเป็นของปชช. เชื่อพรรคจะโตขึ้นอีก ด้าน “โรม” ยันทำหน้าที่ เพื่อประโยชน์ของปชช.

9 ส.ค. 2567

59 views

นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. อดีตพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมใหญ่ พิจารณาแก้ไขข้อบังคับพรรคและเปลี่ยนชื่อพรรคก้าวไกล โดยมีชื่อพรรคใหม่ว่า "พรรคประชาชน" ว่า ตนคิดว่าวันนี้เป็นนิมิตรหมายที่ดี เราจะสู้ต่อไป และจะกลับไปทำงานที่สภาต่อ เพราะว่าพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุราก้าวหน้า กำลังจะได้นำเข้าไปที่สภาภายในสัปดาห์นี้



เมื่อถามต่อว่าในส่วนของหัวหน้าพรรคคนใหม่ คิดว่าจะมีการดำเนินการรูปแบบที่เปลี่ยนไปหรือไม่ นายเท่าพิภพ กล่าวว่า ไม่แน่ใจ วันนี้เหมือนเป็นการมาบริษัทวันแรก อุดมการณ์เหมือนเดิมแน่นอน และทิศทางน่าจะดีขึ้น ตนคือคนสุดท้ายตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล และเชื่อว่าเราจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ในพรรคก็จะดีขึ้นและทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น



เมื่อถามว่าอีกคิดเห็นอย่างไรกับชื่อพรรคประชาชน นายเท่าพิภพ กล่าวว่า เป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ ตนไม่เคยคิดว่าตนทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนตัวเองเลย เพราะคิดว่ามาทำหน้าที่ เป็นตัวแทนประชาชน



เมื่อถามเพิ่มเติมว่าคิดเห็นอย่างไรกับคำว่าอำนาจเป็นของประชาชน นายเท่าพิภพ กล่าวว่า อำนาจเป็นของประชาชนอยู่แล้ว มันไม่ถูกต้องตรงไหน ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในระบอบประชาธิปไตย



ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ภายหลัง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาชน มีความมั่นใจหรือไม่ว่า มั่นใจมาก เพราะนายณัฐพงษ์พิสูจน์ตัวเองมาเยอะ ผ่านการทำงานที่ได้รับการยอมรับ ทั้งจากสส.และสมาชิกพรรค ดังนั้นมองว่านายณัฐพงษ์ มีความเหมาะสมในการเป็นผู้นำพรรคในเวลานี้



เมื่อถามว่าแนวทางของพรรคใหม่จะเป็นที่พอใจของประชาชนหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรายังคงทำหน้าที่ ทั้งการตรวจสอบงบประมาณและการเสนอกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของประชาชน ในส่วนนโยบายอื่น ๆ ที่คิดไปถึงการเลือกตั้งในครั้งต่อไป เราไม่ได้ถกเถียงกันในเวลานี้ แต่เชื่อว่านโยบายหลายอย่างจะให้ความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการเมืองเพื่อให้คนเท่ากัน ทลายทุนผูกขาด และเปลี่ยนสังคมไปในทางที่ดีขึ้น



เมื่อถามว่ามีหลายฝ่ายจับตาว่า พรรคอาจจะมีการลดระดับประเด็นเรื่องมาตรา 112 นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะคุยเรื่องนี้ เพราะวันนี้เราเพิ่งมีชื่อพรรค ส่วนใหญ่คุยกันเรื่องกรรมการบริหารพรรคและการพูดคุยเล็กน้อย ยังไม่พูดคุยเรื่องทิศทางใหญ่ มองว่าเรามีเวลาพอสมควรที่จะคุยเรื่องทิศทางของพรรคในอนาคต



ส่วนวิบากกรรม หลังจากนี้กรณีรายชื่อ 44 สส. เข้าชื่อแก้ไขมาตรา 112 ที่ขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นป.ป.ช. และมีชื่อตัวเองอยู่ด้วยนั้น นายรังสิมันต์ ระบุว่า ป.ป.ช. มีอำนาจในการตรวจสอบ แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบในการใช้อำนาจไม่ให้เป็นการใช้เพื่อการกลั่นแกล้ง ส่วนที่จะมีการชงเรื่องไปยังศาลฎีกาฯ เรื่องนี้มองว่าต้องดูว่ามีหลักฐานเพียงพอหรือไม่ แต่ตัวเองก็ยังตั้งข้อสังเกตว่ามีหลายเรื่องที่ตัวเองเคยร้องไปยังป.ป.ช. ตอนนี้ไม่รู้มีความคืบหน้าไปอย่างไร แต่ทำไมที่เป็นคดีเกี่ยวกับนักการเมืองของอดีตพรรคก้าวไกลทุกอย่างดูรวดเร็ว ซึ่งเป็นคำถามที่สังคมจะต้องหาคำตอบ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นระบบการตรวจสอบของไทยค่อนข้างที่จะน่าเป็นห่วง



นายรังสิมันต์ ยังย้ำอีกว่า ส่วนตัวไม่กังวล แต่เข้าใจว่าหลายคนอาจจะอยากรู้ว่าความรู้สึกของพวกเราเป็นอย่างไร 44 คนรอดไม่รอด แต่ตัวเองกลับมองว่าความรู้สึกไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับความเป็นไปของประเทศที่ตกลงแล้ว ระบบตรวจสอบของประเทศนี้ถูกออกแบบมาเพื่ออะไร และกรณีการยุบพรรคก็มีหลายประเทศที่ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ