เลือกตั้งและการเมือง

ยักไหล่แล้วไปต่อ! สส.ก้าวไกล เหลือ 143 คน หลังโดนยุบพรรค 'ชัยธวัช-หมออ๋อง' บอกลาสภา

โดย passamon_a

8 ส.ค. 2567

398 views

เมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 เวลา 15.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ สั่งยุบพรรคก้าวไกล พร้อมมีมติเอกฉันท์ ตัดสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล จำนวน 11 คน ได้แก่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, นายชัยธวัช ตุลาธน, นางสาวณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์, นายณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล, นายปดิพัทธิ์ สันติภาดา, นายสมชาย ฝั่งชลจิตร, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, นายอภิชาต ศิริสุนทร, นางสาวเบญจา แสงจันทร์, นายสุเทพ อู่อ้น และนายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในวันนี้ (7 ส.ค.) และห้ามกรรมการบริหารพรรคฯ ดังกล่าวไปจดทะเบียน หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองอื่น 10 ปี


โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า รัฐธรรมนูญให้เสรีภาพบุคคลในการจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อหล่อหลอมอุดมการณ์เจตจำนงของประชาชน จนเป็นนโยบายของพรรคการเมือง พรรคการเมืองจึงมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการประชาธิปไตย และแม้บุคคลจะมีเสรีภาพ แต่ก็ต้องมีขอบเขต และเขตแดนที่จำกัด ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติบุคคล จะใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ และการบัญญัติการยุบพรรค เป็นมาตรการตอบโต้ และป้องกันภัยคุกคามของพรรคการเมือง ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังชี้แจงด้วยว่า ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยที่ 3/2567 จากกรณีที่ 44 สส.พรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรในชุดที่แล้ว รวมถึงพรรคก้าวไกล ยังคงหาเสียงในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างต่อเนื่อง และแสดงความเห็นการแก้ไข และยกเลิก ม.112 ใช้ตำแหน่ง สส.เป็นนายประกันผู้ต้องหาในคดี ม.112 หลายครั้ง หรือ สส.ของพรรคก็ทำผิดกฎหมายดังกล่าวเสียเอง ศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้สั่งให้พรรคการไกล ยุติการกระทำดังกล่าว และห้ามแก้ ม.112 โดยวิธีที่ไม่ใช่กระบวนการตามนิติบัญญัติโดยชอบ


ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล โต้แย้ง กกต.ไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้โต้แย้งในคดีความดังกล่าว และ กกต.ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบ กกต.ในการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญในการยุบนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงว่า กฎหมายพรรคการเมืองระบุว่า เมื่อ กกต.มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง หรือพบการกระทำ ก็จะต้องรวบรวมข้อเท็จจริง และยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อ กกต.มีหลักฐานอันควรเชื่อจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 แล้ว ดังนั้น กกต.จึงสามารถยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่ กกต.เห็นว่า ไม่สามารถโต้แย้งเป็นอื่นได้ ดังนั้น กกต.จึงยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้น ข้อโต้แย้งของพรรคก้าวไกล จึงไม่สามารถรับฟังได้


ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังชี้แจงอีกว่า ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ระบุพฤติการณ์พรรคก้าวไกลหลายประการ ทั้งการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้เป็นนโยบายดังกล่าวหาเสียง มีการชุมนุมเรียกร้องเรื่องดังกล่าวหลายครั้ง ซึ่งหากปล่อยให้พรรคก้าวไกลดำเนินการต่อไป อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ ซึ่งถือว่า ความผิดสำเร็จตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 แล้ว พร้อมยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างเข้มข้นแล้ว โดยเฉพาะในการออกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานใหม่


ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังอธิบายอีกว่า การเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ต่อสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว เป็นการกระทำลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยได้เสนอเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง และนโยบายนี้ ได้ปรากฏบนเว็บไซต์ จึงนับได้ว่า พรรคก้าวไกล ได้ร่วมกันเสนอนโยบายดังกล่าว และยื่นต่อ กกต.เป็นนโยบายหาเสียง รวมถึงใช้หาเสียงหลายครั้ง และเป็นนายประกัน รวมถึงกระทำผิดกฎหมายดังกล่าวเสียเอง แม้ผู้ดำเนินการ จะไม่ใช่กรรมการบริหารพรรคโดยตรง แต่กรรมการบริหารพรรค ก็ต้องดำเนินการยับยั้ง ดังนั้น จึงจะอ้างเป็นการกระทำเฉพาะบุคคล เพื่อเลี่ยงกระทำความผิดไม่ได้


ส่วนข้อโต้แย้งการกระทำของพรรคก้าวไกล ไม่เป็นการล้มล้างปกครอง หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง และไม่จำเป็นต้องยุบพรรคก้าวไกลนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า พรรคก้าวไกล ได้อ้างข้อเท็จจริงถึงการเข้าชื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ สส.พรรคก้าวไกล มีเนื้อหาให้เปลี่ยนฐานความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงรัฐ และมีการยกเว้นความผิด และยกเว้นโทษ รวมถึงให้ความผิด ตามกฎหมายดังกล่าว 112 เป็นความผิดยอมความได้ จึงไม่ได้เป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่ได้แยกสถาบันออกจากความเป็นชาติ แต่เพื่อให้สอดคล้องหลักสากล และ กกต.เองก็ไม่เคยยับยั้งการดำเนินการของพรรคก้าวไกลนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่พรรคก้าวไกลอ้าง เป็นข้อเท็จจริงเดิม ที่พรรคก้าวไกล เคยหยิบยกมาต่อสู้ในคดีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 แล้ว ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ รับฟังเป็นที่สิ้นสุดแล้วว่า พฤติกรรมของพรรคก้าวไกล เป็นการกระทำล้มล้างการปกครอง และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กร ดังนั้น คำวินิจฉัยดังกล่าว ก็ต้องผูกพันกับคดีนี้ของศาลรัฐธรรมนูญด้วย


นอกจากการยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคก้าวไกลแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังเห็นว่า ยังมีพฤติการณ์ที่กรรมการบริหารพรรค, สส., และสมาชิก เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และยังเป็นนายประกัน หรือกระทำความผิดเสียเอง และรณรงค์แก้ไขและยกเลิก มาตรา 112 โดยมีเจตนามุ่งหมายแยกสถาบัน ออกจากความเป็นชาติ จึงเป็นภัยความมั่นคง และหวังใช้สถาบันมาหาเสียงเลือกตั้ง ทำให้สถาบันถูกโจมตี ทำร้ายจิตใจชาวไทย ที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเป็นศูนย์รวมความเป็นชาติ และนำไปสู่การล้มล้างการปกครองฯ ได้ ซึ่งเป็นไปตามคำร้องศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ดังนั้น จึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกล กระทำการขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 (1) และ (2) อันเป็นเหตุให้ยุบพรรคก้าวไกล พร้อมตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคฯ เป็นเวลา 10 ปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง


ทั้งนี้ คำสั่งยุบพรรคก้าวไกลดังกล่าว ส่งผลให้ สส.ของพรรคฯ ที่ไม่ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง จะต้องหาสังกัดพรรคการเมืองใหม่ภายใน 60 วัน ส่วนกรรมการบริหารพรรคฯ ที่ถูกตัดสิทธินั้น นายชัยธวัช จะต้องพ้นจาก สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมพ้นจากตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร, นายปดิพัทธ์ พ้นจากสมาชิกสภา สส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล พร้อมพ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และจะต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมพิษณุโลก เขตการเลือกตั้งที่ 1


ทั้งนี้ สำหรับตัวเลข สส.ของพรรคก้าวไกล ที่มีจำนวน 151 คน ถูกขับออกจากพรรค 3 คน ได้แก่ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี, นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิต สส.กทม. และนายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำให้เหลือจำนวน 148 คน


ภายหลังศาลรัฐธรรมมีคำวินิจฉัย จะมี สส.บัญชีรายชื่อ พ้นจากสภาพ สส. อีก 5 คน ได้แก่ นายพิธา หัวหน้าพรรคในขณะนั้น, นายชัยธวัช อดีตเลขาธิการพรรค, นายอภิชาต ศิริสุนทร กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, นางสาวเบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคตะวันออก และนายสุเทพ อู่อ้น กรรมการบริหารพรรค ซึ่งในกรณีนี้ จะไม่การเลื่อนลำดับรายชื่อขึ้นมาแทนที่ ส่งผลให้ขณะนี้ สส.พรรคก้าวไกล เหลือจำนวน 143 คน และอดีต สส.ทั้งหมดจะต้องหาพรรคใหม่ สังกัดให้ได้ภายใน 60 วัน


ขณะที่ ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ขนส่งทางบกฉบับที่...พ.ศ... ในระหว่างการอภิปราย นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นกล่าวกับประธานในที่ประชุมว่า เมื่อสักครู่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ดังนั้นตนอยากจะขอแจ้งกับประธานว่า พวกตน นายชัยธวัช ตุลาธน และกรรมการบริหารพรรคนายอภิชาติ ศิริสุนทร, นางสาวเบญจาแสงจันทร์, นายสุเทพ อู่อ้น รวมถึงอดีตหัวหน้าพรรคคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็คงไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎรได้อีกต่อไปหลังจากนี้


สุดท้ายต้องขอขอบคุณประธานและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนที่ได้ทำงานร่วมกันมา และถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกตนได้ใช้ช่วงระยะเวลาในฐานะผู้แทนราษฎรในการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันสิ่งที่เราคิดว่าเป็นอนาคตของประเทศ สุดท้ายพวกตนคงไม่มีโอกาสที่จะได้ร่วมทำงานกับทุกคนอีกต่อไปอย่างน้อยก็ 5 ปี 10 ปี แต่ก็หวังว่าหลังจากนี้เพื่อนผู้แทนราษฎรจะสามารถที่จะใช้อำนาจหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติในฐานะที่พี่น้องประชาชนเลือกเข้ามาเป็นสถาบันทางการเมืองเดียวในประเทศที่ถูกแต่งตั้งโดยประชาชนอย่างคุ้มค่าและทำให้ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน


จากนั้น นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ได้พูดกับสมาชิกในที่ประชุมว่า ตนเองเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลในปี 2562 ด้วยสมาชิกภาพความเป็น สส. ก็จะสิ้นสุดเช่นเดียวกัน ตนอยากจะบอกสุดท้ายว่าตนขอบคุณทุกคนและเป็นเกียรติมากที่ได้ทำงานร่วมกับทุกคน และอยากจะบอกข้าราชการสภาผู้แทนราษฎรทุกคนว่าเคารพและขอบคุณทุกคน สุดท้ายอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ขอบคุณครับประชาชนขอบคุณครับ จากนั้นได้กล่าวปิดประชุม


จากนั้น สส.พรรคก้าวไกล ได้กอดคอกัน กลางสภา หลายคนถึงขั้นร้องไห้ พร้อมชูกำปั้น โดยบรรดา สส. ได้ยืนระหว่างสองทางเดิน เพื่อกอดคอกับนายชัยธวัช หัวหน้าพรรค พร้อมให้กำลังใจ


ขณะที่ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ที่ได้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมเป็นครั้งสุดท้าย ได้ลงจากบัลลังก์ และเข้าไปทักทายกับบรรดา สส. ในสภา และมาร่วมวงกับ สส. พรรคก้าวไกล ซึ่งทั้งหมดได้รวมกลุ่มถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน พร้อมชูกำปั้น


ภายหลังลงจากที่ประชุมสภา นายชัยธวัชปฏิเสธให้สัมภาษณ์ เพียงแต่ทำท่าชูกำปั้น และกล่าวทิ้งท้ายก่อนขึ้นรถว่า "แล้วพวกผมจะกลับมาใหม่"


นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียของพรรคก้าวไกล ได้โพสต์คลิป พร้อมข้อความระบุว่า "Unbreakable ข้าไม่ตาย ในโลกนี้มีบางอย่าง ที่ไม่อาจถูกทำลาย ไม่สูญสลาย มีแต่จะเติบโตต่อไปไม่หยุดยั้ง การเดินทางครั้งใหม่เริ่มขึ้นแล้ว เดินต่อไปด้วยกัน ประชาชน #ก้าวไกลไปต่อ"


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/Ns1cYQ9N-iE

คุณอาจสนใจ

Related News