เลือกตั้งและการเมือง
“พิธา” ไม่ขอก้าวล่วงคำวินิจฉัยศาลฯ ยันไม่ได้ปลุกมวลชน อุบแผนสำรองหากคดียุบพรรคเป็นโทษ
2 ส.ค. 2567
91 views
2 ส.ค. 2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวปิดคดียุบพรรคว่า การตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล มีเส้นแบ่งระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคที่เคยถูกยุบในอดีต ไม่มีระเบียบข้อบังคับ กฎหมายของกกต.ในการรวบรวมพยานหลักฐานในการยุบพรรค โดยพรรคก้าวไกลเป็นพรรคแรกที่มีกระบวนการนี้เกิดขึ้นจึงเป็นเส้นแบ่งระหว่างพรรคก้าวไกลกับคดีของพรรคอื่น ๆ ที่ผ่านมา
ซึ่งตั้งแต่ปี 2549 มีพรรคการเมืองถูกยุบไปทั้งหมด 33 พรรค มีนักการเมืองถูกตัดสิทธิไปอย่างน้อย 249 คน และมีการยกคำร้องประมาณ 14 ปีที่แล้ว เป็น 1 ใน 34 พรรคที่รอด พรรคนั้นรอดไม่ถูกยุบและยกคำร้องเพราะกระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากนายทะเบียนไม่ได้ทำตามที่ระเบียบของกกต.ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แม้กระทั่งการชี้แจง ซึ่งเป็นการเสียโอกาส และจากการตรวจสอบหลักฐานก็พบว่ามีบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลอยู่จำนวนมากด้วยเช่นกัน ทั้งนี้มองว่า หากกกต.ทำตามระเบียบที่ออกมา เมื่อ ก.พ. 2556 ก็จะคงจะได้อธิบายให้กกต.ให้รับทราบ พร้อมขอบคุณ นายสุรพล นิติไกรพจน์ ที่เป็นหลักในการอธิบายกฎหมาย และออกมาเป็นไปตามข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกล
นายพิธา ยังกล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลเห็นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น เป็นการนำองค์ประกอบ 2 ประการ คือ ระบอบประชาธิปไตย และสถาบันพระมหากษัตริย์มาดำรงอยู่คู่กัน กลายเป็นระบบการเมืองโดยหลักการอำนาจประชาธิปไตยเป็นของประชาชน สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ย่อมได้รับการคุ้มครองจากรัฐโดยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ซึ่งมีรูปแบบของรัฐเป็นรูปแบบของราชอาณาจักร โดยพระองค์ไม่ทรงใช้อำนาจทางการเมืองและการปกครองด้วยพระองค์เอง
ด้วยเหตุนี้องค์พระประมุขของรัฐ จึงดำรงความเป็นกลางทางการเมือง มีพระราชฐานะเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนผู้ใดจะละเมิดฟ้องร้องมิได้ การประสานสถาบันพระมหากษัตริย์ กับระบอบประชาธิปไตยให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยสามารถรักษาคุณค่ารักษาพื้นฐานของทั้งสององค์อย่างสมดุลจึ งเป็นโจทย์สำคัญของการธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และในแต่ละประเทศย่อมมีลักษณะไม่เหมือนกัน และไม่ได้มีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว การจัดระเบียบสังคม การออกแบบสถาบันทางการเมือง กฎหมาย วัฒนธรรมคุณค่าพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของแต่ละประเทศนั้นย่อมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ไปตามวิวัฒนการของสังคม
ความพยายามที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว พัฒนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อการปกครองของเรา เพราะจะทำให้สูญเสียความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับสมดุลใหม่ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และเงื่อนไขทางสังคมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เสียโอกาสที่จะรักษาสิ่งเก่าและเชื่อมประสานต่อสิ่งใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยและสถาบันแปลกแยกต่อกัน
การปกปักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จึงไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจด้วยการกดปราบ ไม่ว่าจะกดปราบจากการใช้กำลัง และกฎหมาย มีแต่ต้องสร้างสมดุลให้ได้สัดส่วนเหมาะสมกับยุคสมัย เพื่อให้ระบอบนี้มั่นคงยั่งยืน ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา ด้วยความยินยอมพร้อมใจของประชาชน
เพราะหลายปีที่ผ่านมา การนำประเด็นความจงรักภักดี เข้ามากล่าวหาโจมตีทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการรัฐประหาร ทั้งการทำรัฐประหารโดยกำลังทหารและกฎหมาย รวมถึงการแสดงความจงรักภักดีอย่างล้นเกินเพื่ออำพรางการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างฉ้อฉลของคนบางกลุ่ม ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการเมืองของยุคสมัย ได้กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการเมือง และความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ซึ่งสังคมไทยในอดีตอาจไม่คุ้นเคย แทนที่ผู้มีอำนาจจะตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และพยายามแสดงหากุศโลบายด้วยสติปัญญา เพื่อคลี่คลายแรงตึงเครียด และสร้างฉันทมติใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัย ที่จะใช้อำนาจกดประชาชนมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการบังคับใช้ กฎหมาย ม.112 อย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
สืบเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าว สส.พรรคก้าวไกลจึงเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข ม.112 ด้วยมีเจตนาที่จะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างสมดุลใหม่ที่ได้สัดส่วนระหว่างการคุ้มครองพระเกียรติยศแห่งองค์พระประมุขกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาดุลยภาพและความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขจะดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้มิใช่การบ่อนทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และหลักคุณค่าพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
ในทางตรงกันข้ามการพิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะต้องโอบรัดความหลากหลายในสังคมอย่างมีภราดรภาพ มีการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันอันเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะและมีความอดทนอดกลั้นในการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย กระบวนการทางประชาธิปไตย แก้ปัญหาความแตกต่างความแตกต่างขัดแย้งในสังคม อย่างมีวุฒิภาวะ ด้วยวิถึการเสริมสร้างประชาธิปไตย ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้องค์พระบารมี ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนโดยไม่แบ่งแยก จะเป็นการธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขให้ยืนยงสืบไปเยี่ยงนานาอารยะประเทศ
จากนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ ถึงแนวทางการต่อสู้คดีของพรรคก้าวไกล ผู้สื่อข่าวถามถึงการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ นายพิธา กล่าวว่า คงไม่อาจก้าวล่วงประเมินไปข้างหน้า แต่ว่าเราก็มั่นใจในข้อเท็จจริงและมั่นใจในข้อกฎหมายที่เราได้อธิบายอธิบายให้กับสื่อมวลชนไปแล้ว
เมื่อถามว่าเหตุผล 9 ข้อที่ได้ชี้แจงมา มั่นใจว่าเป็นไปในทางบวกที่จะไม่ทำให้ถูกยุบพรรคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เรามั่นใจ เราไม่สามารถที่จะก้าวล่วงหรือคาดเดาสิ่งที่เป็นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ ก็คือการยืนยันข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในทางฝั่งของเรา และเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความยุติธรรมเหมือนพรรคหนึ่งที่เคยได้รับมา เมื่อ 14 ปีที่แล้ว รวมถึงบรรทัดฐานในการพิจารณาก็เชื่อว่าจะเป็นไปตามหลักสากล รวมถึงการประชุมศาลรัฐธรรมนูญเอเชียที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้าของศาลรัฐธรรมนูญไทยด้วย ก็รู้สึกมั่นใจ
เมื่อถามว่านอกจากเหตุผลทางข้อกฎหมายต่าง ๆ แล้ว กังวลหรือไม่ว่า เหตุผลในทางการเมืองต่าง ๆ จะถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลในการยุบพรรค นายพิธา กล่าวว่า ไม่กังวล คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ตามที่ได้ยินข่าวมาว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมายล้วน ๆ แล้วใช่หรือไม่
เมื่อถามว่าหากคำตัดสินออกมาไม่เป็นคุณกับพรรคก้าวไกลเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด เราได้เตรียมการอะไรรองรับไว้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า มีคิดไว้แต่ว่ายังไม่ถึงเวลา ตอนนี้เราโฟกัสในการใช้เวลา เสาร์ อาทิตย์ นี้และ จันทร์ อังคาร รวมถึงวันพุธ ในการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรของเราอย่างเต็มที่ วันพุธตอนเช้าตนก็ยังมีคิวที่จะต้องอภิปรายในเรื่องของ พ.ร.บ.ขนส่งสาธารณะ และทำหน้าที่อย่างมีสมาธิกับสิ่งที่พี่น้องประชาชน 14 ล้านคน เคยให้คะแนนเสียงมา ก็ยังทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรเหมือนเดิมตลอด ไม่ได้รู้สึกว่าเสียสมาธิหรือว่าจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษ แน่นอนมันก็ต้องมีเรื่องของกระบวนการต่อสู้ในทางกฎหมายเกิดขึ้น แต่ว่าสมาธิในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชนยังเหมือนเดิม
เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลเป็นห่วงในเรื่องกระแสการลุกฮือและการเคลื่อนไหวของประชาชนในวันตัดสินคดียุบพรรคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนไม่สามารถคาดเดาแทนพี่น้องประชาชนได้ ก็หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แน่นอนว่าการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนสามารถทำได้ ในระบอบประชาธิปไตยที่ไร้ความรุนแรง แต่พรรคก้าวไกลจะไม่ได้เป็นส่วนร่วมในการมีเจตนาจะสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคแน่นอน
เมื่อถามว่ากิจกรรมในวันที่ 7 ส.ค. มีการให้ประชาชนเข้ามาร่วมด้วย จะถูกมองว่าเป็นการปลุกมวลชนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่หรอกครับ อย่างที่บอกว่าพรรคก้าวไกลเป็นสถาบันในทางการเมือง และมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก เจ้าหน้าที่พรรค หรืออาสาสมัครของพรรค เขาก็มีสิทธิที่จะได้ร่วมรับฟังความวินิจฉัยด้วยกันซึ่งก็จะอยู่ที่พรรค ช่วงเช้าตนก็จะเข้าสภาไปทำหน้าที่ของตัวเอง
เมื่อถามว่าถึงแม้ว่าจะมีการประเมินว่าจะไม่ถูกยุบ แต่มีรายงานข่าวว่าพรรคก้าวไกลมีการไปดีลพรรคสำรองไว้ โดยมีชื่อพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ออกมานั้น นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ตอนนี้ยังขอโฟกัสในเรื่องของการสู้คดีในการยุบพรรค เมื่อถึงเวลานั้นก็คงต้องพูดคุยกัน ณ ตอนนั้นอีกที ตอนนี้ภายในพรรคก็ยังไม่มีมติ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น และหากคำตัดสินไม่เป็นคุณ ตนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคใหม่แล้ว ก็เข้าใจว่าพรรคการเมืองทั่วไป มันก็มีกฎเกณฑ์ในการที่จะต้องเรียกประชุมพรรค เรียกประชุม สส. ในการเลือกต่างๆ นานา ซึ่งตนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และคงตอบแทนไม่ได้ ยังเชื่อว่าวันพฤหัสที่ 8 ส.ค.ก็ยังคงเข้าสภา และทำหน้าที่กับผู้นำฝ่ายค้านเหมือนเดิม ตอนนี้ก็คงจะเป็นโฟกัสของเรา ณ ปัจจุบัน
เมื่อถามว่าวันนี้ สส.ของพรรคก้าวไกลยังคงรักษาความเป็นปึกแผ่นเหมือนเดิมหรือไม่ หรือว่าเริ่มมีการแตกออกไปบ้างแล้วตามกระแสข่าว นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีตามกระแสข่าว ยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และเท่าที่ดูในห้องแชตก็ยังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่จะเข้าวาระ รวมถึงการทำหน้าที่กรรมาธิการงบประมาณตรวจสอบรัฐบาลอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรต้องห่วง เมื่อถามต่อว่ายังไม่มีใครจะไปอยู่พรรคของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีครับ
แท็กที่เกี่ยวข้อง