เลือกตั้งและการเมือง

ผ่านฉลุย! สภาฯ รับร่าง พ.ร.บ.งบ 1.22 แสนล้าน โปะดิจิทัลวอลเล็ต 'ศิริกัญญา' ขู่พรรคร่วมสมรู้ร่วมคิด

18 ก.ค. 2567

27 views

วานนี้ (17 ก.ค. 67) การประชุมสภาฯ วาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ.... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ เพื่อใช้ใน 'โครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต' ได้ใช้เวลาอภิปรายกว่า 10 ชั่วโมง และหมดผู้อภิปรายแล้ว ที่ประชุมได้ลงมติว่าจะรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวหรือไม่ โดยมติเสียงข้างมาก 297 เสียง ลงมติรับหลักการ ขณะที่ 164 เสียง ไม่รับหลักการ


โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นผู้กล่าวเปิดการอภิปราย ได้บอกว่า สำหรับภาวะเศรษฐกิจทั่วไป เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในช่วง ร้อยละ 2.0 - 3.0 (ค่ากลางร้อยละ 2.5) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการที่เกี่ยวเนื่อง การขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งการอุปโภค บริโภค และการลงทุน และการกลับมาขยายตัวอย่างช้า ๆ ของการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของการค้าโลก


อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคการเกษตร ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกที่อยู่ในเกณฑ์สูง และมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น สำหรับอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.1 - 1.1 (ค่ากลางร้อยละ 0.6) และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 1.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ


ดังนั้น ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง โดยงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท มีที่มาจากรายได้รัฐบาล จำนวน 10,000 ล้านบาท และเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 112,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิม ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 3,480,000 ล้านบาท จะทำให้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีงบประมาณรายจ่ายรวม 3,602,000 ล้านบาท


นายกฯกล่าวว่า สำหรับฐานะการคลังประเทศหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 เม.ย.2567 มีจำนวน 11.5 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 63.78 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ยังอยู่ในกรอบบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายที่ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ส่วนฐานะเงินคงคลัง วันที่ 31 พ.ค.2567 มี 3.94 แสนล้านบาท เงินสำรองระหว่างประเทศ 2.21 แสนล้านดอลลาร์ จัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก


นายกฯกล่าวด้วยว่า สำหรับงบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาทนั้น จำแนกเป็น งบประมาณรายจ่ายงบกลาง 1.22 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาทดังกล่าว เมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิม ตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จำนวน 3.48 ล้านล้านบาท จะทำให้ปีงบประมาณ 2567 มีงบประมาณรายจ่ายรวม 3.6 ล้านล้านบาท

---------------------

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านกว่า 20 นาที ว่า ไม่รู้โครงการนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่  ซึ่งวงเงินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดงบปี 68 ที่เราเพิ่งผ่านวาระหนึ่งไม่นาน กู้เพิ่ม 152,700 ล้านบาท ยังต้องกลับไปบริหารจัดการภายในงบประมาณปี 68 อีก 132,300 ล้านบาท วันนี้รัฐบาลมาขอกู้เพิ่ม 112,000 ล้านบาท และไปหารายได้อื่นมาอีก 10,000 ล้านบาท


"จะเห็นได้ว่าพอไม่มีเงินจาก ธ.ก.ส.แล้ว ซึ่งก็เป็นการดีแล้วที่ไม่ได้ใช้เงินจาก ธ.ก.ส. เพราะเราได้ท้วงติงมาโดยตลอดว่าผิดวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ. ของ ธ.ก.ส.เอง และสภาพคล่องก็อาจจะไม่ได้เพียงพอที่สุดท้ายถ้าจะใช้ก็อาจจะต้องให้กระทรวงการคลังไปกู้มาให้ ธ.ก.ส.กู้ต่ออยู่ดี” นางสาวศิริกัญญา กล่าว


นางสาวศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญที่ปีนี้จะมีการกู้เพิ่มอีก 112,000 ล้านบาท เท่ากับว่างบประมาณของ ปี 67 จะมีการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลทั้งสิ้น 805,000 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ดี หากไม่นับของ ปี 68


"เป็นการทำสถิติอีกแล้วนะคะ ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราไม่เคยตั้งงบประมาณเพื่อที่จะขาดทุนสูงขนาดนี้ ปกติมันต้องกดลงมาให้เหลือ 3% แต่ของท่านน่าจะติดใจกับการที่สามารถเบ่งงบออกไปเรื่อยๆ และกู้ชดเชยขาดดุลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึง 4.3% มันจะเป็นปัญหาในการเพิ่มหนี้สาธารณะเพิ่มภาระในการชำระดอกเบี้ยชำระหนี้ตามมา”  


นางสาวศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ที่เป็นปัญหามากกว่านั้น คือ ปัญหาเฉพาะหน้าในการที่เรากู้จนเต็มเพดาน งบปี 67 เราเพิ่งผ่านไปเมื่อต้นปีและประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เมื่อ เม.ย.  ตอนนั้นสภาอนุมัติไป 3.48 ล้านล้านบาท มันจะกลายเป็นเพิ่มขึ้นไปถึง 3.6 ล้านล้านบาท / กู้เพิ่มจะเพิ่มขึ้นจาก 693,000 ล้านบาท เป็น 805,000 ล้านบาท แต่หากไปดูเพดานการกู้จากเดิม ถ้ายังไม่ได้ขยายเพดาน จะกู้ได้แค่ 790,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้  จึงต้องขยายเพดานเป็น 815,056 ล้านบาท เหลือเพดานให้กู้เพิ่มได้อีกแค่ 10,056 ล้านบาท


"มันเหมือนกับว่ารัฐบาลคิดอะไรไม่ออกก็ใช้วิธีการเบ่งงบ เบ่งรายจ่ายให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีรายได้เพิ่ม รายได้ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มเพียงแค่ 10,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง และถ้ารายได้ไม่มา เท่ากับว่า เราจะไม่เหลือพื้นที่ให้กู้เพิ่มได้อีกเลย” นางสาวศิริกัญญา กล่าว


ปัญหาคือพอเราหาเงินไม่ทันแบบนี้ ต้องไปดูที่ฝั่งรายได้ด้วย ว่ารัฐบาลจะมีงบประมาณเหลือเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงเวลาจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้าได้หรือไม่ ทำให้งบประมาณที่สภาอนุมัติไปแล้วสุดท้ายมันอาจจะใช้ได้ไม่ครบ 3.48 ล้านล้านบาท เพราะรายได้ไม่เข้าเป้า เเละเรากู้โปะได้ไม่เพียงพอ หน่วยงานไหนที่มาเบิกจ่ายตอนหลังอาจจะโชคร้าย เงินอาจจะไม่มีแล้ว ที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ไม่ได้สนใจไม่ได้แคร์อะไรว่าประเทศจะต้องมาอยู่กับความเสี่ยงแบบนี้ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตทำให้ต้องกู้จนสุดเพดาน


นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า ตามเอกสารที่สภาได้รับมาจากรัฐบาล มีการประมาณการ GDP ใหม่ด้วย เปลี่ยนสมมุติฐานทางเศรษฐกิจบอกว่า GDP จากเดิมที่จะโตได้ 2.7% มาเหลือ 2.5% เงินเฟ้อก็ลดลง แต่พอไปดูเอกสารประมาณการงบประมาณรายได้ ปรากฏว่าไม่มีการประมาณการรายได้ใหม่ บอกว่าจะจัดเก็บรายได้เท่าเดิม ทั้งที่เศรษฐกิจไม่ได้โตตามคาด


"มันเป็นไปได้ยังไงที่เราไม่ได้ประมาณการรายได้ใหม่เลย ทั้งที่ระยะเวลามันล่วงเลยมาหลายเดือนแล้ว จากที่เคยได้ประมาณการครั้งล่าสุด ผลการจัดเก็บก็เห็นอยู่ว่ามันไม่ได้เท่าเดิม เมื่อตอนต้นปี ดิฉันเคยอภิปรายเอาไว้ว่ารายได้มาจากจัดเก็บได้ไม่เข้าเป้า เพราะภาษีขายหุ้นไม่มีแล้ว” นางสาวศิริกัญญา กล่าว


นางสาวศิริกัญญา ย้ำว่า ตอนนี้ตัวเลขทางการของ 8 เดือนแรก ก็ต่ำกว่าเป้า ผล 9 เดือนก็น่าจะออกวันนี้พรุ่งนี้แล้ว แต่ละกรมเขาทอยอยออกมาแถลงข่าวกันแล้ว ว่าเขาจัดเก็บได้เท่าไหร่ ดูท่าทีไม่มีทางที่จะเก็บภาษีได้ตามเป้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมสรรพสามิต  ที่เพิ่งแถลงข่าวว่าจะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้า 58,000 ล้านบาท ท่านอธิบดียังมาชี้แจงที่ห้องงบประมาณด้วยว่า ทั้งปีอาจจะหลุดเป้าไปที่ 60,000-70,000 ล้านบาท ด้วยสถานการณ์แบบนี้ที่เรายังไม่รู้ว่าเราจะมีรายได้เพียงพอที่จะใช้สำหรับปีงบ 67 หรือไม่


"ท่านก็ยังมาขอกู้สภาแบบเต็มเพดานกันอีกเหรอคะ จะไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้บริหารความเสี่ยงอะไรเลยใช่หรือไม่คะ"


นางสาวศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ท้ายที่สุดผ่านมา 7 เดือนแล้วงบกลางยังใช้ไม่ถึงไหน ยังอนุมัติแค่ 17,991 ล้านบาท บางโครงการยังไม่ได้เบิกจ่ายด้วยซ้ำไป


"ก็ถึงว่าท่านบอกว่าเศรษฐกิจแย่ แต่ไม่มีมาตรการอะไรออกมาช่วยเหลือประชาชนเลย พอเราตั้งกระทู้ถามสดหน่อย โอ้โฮ เมื่อวานนี้ออกมาหลายเรื่องเลย เพื่อจะช่วยปัญหาประชาชน แต่เท่าที่ดูก็มีแต่มาตรการเดิมๆ ไม่ได้มีอะไรที่น่าจะช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่จะต้องรอดิจิทัลวอลเล็ตได้ ไม่มีมาตรการช่วยเศรษฐกิจแต่อย่างใด ที่เป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ค่ะ เราก็คงต้องสรุปว่า งบกลางเงินสำรองที่สภาอนุมัติไว้เกือบ 100,000 ล้านบาท มันไม่ออกมาเลยก็เพราะว่ารัฐบาลยังไม่รู้ ณ ตอนนั้นว่าตกลงจะต้องเอามาใช้กับดิจิทัลวอลเล็ตกี่บาท ตอนนี้น่าจะเคาะแล้วว่าใช้แค่ 43,000 ล้านบาท เท่ากับว่าเงินส่วนนี้ จะไม่ได้ออกไปกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไปสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงปีงบประมาณนี้ใช่หรือไม่ ก็ต้องถูกกั๊กเอาไว้ ไปจนถึงปลายปีอยู่ดี" นางสาวศิริกัญญา กล่าว


นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า งบกลางปี จะไปใช้ข้ามปีก็คงไม่ได้ มันก็ผิดมาตรา 21 ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังอย่างชัดเจน และไม่สามารถรอใช้พร้อมงบประมาณในปีถัดไปได้ด้วย หรือจะให้ใช้การก่อหนี้ผูกพันก็ทำไม่ได้ เพราะมันต้องทำสัญญาทั้งสองฝ่าย แค่การลงทะเบียนถือเป็นการทำสัญญาฝ่ายเดียว ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ผิด ๆ บริหารผิดพลาด


นางสาวศิริกัญญา ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมไม่แก้กฎหมายก่อนค่อยทำ ตนเสนอว่าให้รัฐบาลแก้ไข มาตรา 21 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังไปเลย เติมท่อนสร้อยว่า “เว้นแต่มีเหตุให้เป็นอย่างอื่น โดยต้องให้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)” จะได้เห็นชัดไปเลยว่าเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายการเมือง หรือเปลี่ยนเป็นนายกรัฐมนตรี จะได้เห็นชัดว่าใครที่ต้องเอาคอขึ้นเขียง เวลาทำผิดกฏหมายแบบนี้


"เพราะตอนนี้เวลาที่เราเดินหน้าลุยไฟ ทำผิดกฎหมายอยู่แบบนี้ คนที่เดือดร้อนที่สุดคือข้าราชการประจำตัวเล็กตัวน้อยที่เป็นคนชงเรื่องต่างๆ ทุกวันนี้ฝ่ายการเมืองไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรเลย เวลาที่ตัดสินใจจะทำอะไรที่มันเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย" นางสาวศิริกัญญา กล่าว


นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนเดียว คือ ต้องรักษาหน้า ใช้เงินสำรองจ่ายแบบยืมเงินข้ามปี แต่หากไม่เคยคิดจะใช้เงินทุนสำรอง ตนก็ถือว่าดี ถือเป็นวาสนาประเทศที่ไม่ใช้เงินทุนสำรอง


วันนี้ตนไม่ได้อยากมาพูดแต่เรื่องกฎหมาย แต่มันปรากฏขึ้นอยู่ตลอดเวลา วันนี้คนใช้ดิจิทัลวอลเล็ต ก็ทราบกันอยู่แล้ว ว่าใช้เพื่ออุปโภคบริโภค แต่ก็ยังสามารถตีความเป็นรายจ่ายลงทุนได้ถึง 80% กลับหัวกลับหางกันไปหมด ซึ่งถือเป็นปัญหาว่าอะไรคือรายจ่ายลงทุน และหากไม่ใช่จะถือเป็นการทำผิด พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง


นางสาวศิริกัญญา ระบุอีกว่า นายกรัฐมนตรีประกาศไปแล้วว่าจะได้ อีก 15 วันจะลงทะเบียน แต่ยังหาเจ้าภาพไม่ได้ ระบบลงทะเบียนเพิ่งจะได้ผู้ชนะการประมูล เป็นไปได้อย่างไร ระบบชำระเงินก็ยังไม่ได้ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง ตั้งข้อสงสัยว่าระบบที่ซับซ้อนมาก ใช้เงินเพียง 95 ล้านบาท


"อาจจะตีความได้ว่าคนที่เข้ามาช่วยในการพัฒนาระบบอาจจะกลายมาเป็นเจ้าของระบบในที่สุด แล้ว 95 ล้านบาทในการพัฒนาระบบ ก็ถือว่าเป็นการทำบุญไปกับบริษัทเอกชนที่จะได้เป็นเจ้าของ หรือบริษัทเอกชนนั้น ก็อาจจะเป็นการทำการกุศลก็ได้ เพราะต้นทุนแท้จริงแล้วอาจจะมากกว่านั้น" นางสาวศิริกัญญา กล่าว


ตนกังวลที่สุดในส่วนร้านค้า เพราะยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้ามาร่วมโครงการได้ ระบบที่ถูกออกแบบมามันเอื้อให้กับร้านค้าที่เขามีสายป่านยาว แต่ร้านค้าหลาย ๆ รายย่อยที่เป็นเงินหมุนเงินสดเขาจะอยู่ไม่ได้ ถือเป็นการกีดกันรายย่อย


นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า ตนยังแทงว่ารัฐบาลใช้งบ 5 แสนล้านบาททำดิจิทัลวอลเล็ต ถามว่าได้อะไรบ้าง ได้เพิ่ม GDP เต็มที่ 350,000 ล้านบาท


"วิญญูชนไงคะท่านประธาน ลงทุน 500,000 ล้าน ได้คืน 350,000 ล้าน เรียกคุ้มหรือไม่คะ แล้วสิ่งที่เราจะเสีย เราเพิ่มความเสี่ยงทางการคลังให้กับประเทศ ตอนนี้ไม่มีปัญญาจะรับมือกับอะไรที่มันฉุกเฉินเข้ามา แค่ฝ่ายค้านพูดว่าต้องมีมาตรการเฉพาะหน้า วิ่งหาเงิน อ้าว เงินไม่เหลือแล้ว เพราะต้องเก็บไว้ทำดิจิทัลวอลเล็ต ยังต้องทำผิดกฎหมายอีกหลายข้อ"

----------------


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/HqyE_WmlNI0


คุณอาจสนใจ

Related News