เลือกตั้งและการเมือง
ผบ.ทหารสูงสุด กางแผนรับภัยคุกคาม สงครามรออยู่รอบด้าน หวั่นส่งผลกระทบไทย
โดย kanyapak_w
10 ก.ค. 2567
24 views
(10 ก.ค.) พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ. สส.) ชี้แจงว่า ในการลงรายละเอียดในขั้นอนุกรรมาธิการยืนยันว่าจะมีเอกสารชี้แจงมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ส่วนเรื่องหลักการทำงานของเหล่าทัพยืนยันว่ามีจุดมุ่งหมายสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนและสังคมโลก หลักการคือปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลที่มาจากประชาชน วันนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าการที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพมาตอบเองในทุกเรื่อง เป็นเครื่องยืนยันว่านอกจากฝ่ายบริหารควบคุมแล้ว ยังมีฝ่ายนิติบัญญัติถ่วงดุลอำนาจในการควบคุมกองทัพด้วย
สำหรับคำถามเรื่องการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ ซึ่งมองว่าซื้ออาวุธซ้ำซ้อนกัน และการปฏิบัติงานในการรบต่างคนต่างทำนั้น ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาในอนาคต โดยเฉพาะเรามีแนวทางการจัดซื้ออาวุธแบบแพ็กเกจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชิ้นส่วนของยุทโธปกรณ์หรือระบบดาต้าลิงก์โดยกองทัพไทยได้ลงทุนในส่วนของไซเบอร์มากกว่าเหล่าทัพอื่นเพราะต้องการเป็นฮับของเหล่าทัพ แต่เหล่าทัพก็ต้องมีระบบป้องกันของตัวเองด้วยตนจึงมีหน้าที่แค่ประสานการป้องกันของทุกหน่วย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ส่วนเรื่องการเตรียมพร้อมในการดูแลกำลังพล และพลทหารทั้งร่างกายและจิตใจของนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่คนเราเติบโตขึ้นมาแล้วมีการป่วยทางจิตมากขึ้น กองทัพไทยมีสำนักงานแพทย์ บรรจุเจ้าหน้าที่ด้านเวชกรรมป้องกัน และพยาบาลที่จบปริญญาโท 1 คนและนักจิตเวชคลินิก 2 คน แน่นอนว่าจำนวนเหล่านี้ ไม่เพียงพอต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แต่เราใช้กำลังพลของเราลงไปเป็นที่ปรึกษาด่านแรก โดยในแต่ละปีเราได้มีการกลั่นกรองคนเข้ามาพบว่า 17,000 คน มีป่วยสีแดง 240 คน ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นปัญหาในเกือบทุกองค์กรที่เกิดขึ้น
สำหรับปัญหาภัยคุกคามของชาติ โดยเฉพาะการค้าการลงทุนและชีวิตของคนไทยที่อยู่ในต่างแดน ในพื้นที่ตะวันออกกลางยังมีตัวประกันเหลืออยู่ 6 คน สัปดาห์หน้าจะเป็นการเจรจารอบใหม่ในประเทศที่ 3 ก็ต้องให้กำลังใจกัน ซึ่งตนก็ทำงานกับกระทรวงต่างประเทศอยู่ โดยมีการหารืออย่างสม่ำเสมอกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เพื่อทำงานคู่ขนานกันไป โดยแรงงานที่อยู่ที่นี่ประมาณ 30,000 กว่าคนรวมทั้งกลุ่มที่เป็นโอเวอร์สเตย์ด้วย ซึ่งพื้นที่ตรงนี้ไม่มีผู้ช่วยทูตทหาร เมื่อประเทศที่ประกาศเป็นภัยสงครามกระทรวงต่างประเทศไม่สามารถทำงานหน่วยเดียวได้ เพราะเขาแบ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติทางการทหาร เป็นเรื่องกองทัพกับกองทัพที่ต้องคุยกันตั้งศูนย์ขึ้นมารองรับ โดยได้คุยกับเหล่าทัพในการเตรียมแผนเผชิญเหตุนี้ไว้แล้ว
ส่วนที่เราเป็นห่วงพื้นที่ด้านเอเชียตะวันออกเพราะมีหลายประเทศที่เกี่ยวข้องซึ่งมีแรงงานก็ไปทำงานจำนวนมากโดยเฉพาะเกาหลีใต้ก็มี 300,000 กว่าคน ทางไต้หวันก็มีจำนวนมากพอสมควร ซึ่งมีความเป็นห่วงค่อนข้างมาก หากเกิดวิกฤติขึ้นนอกจากแรงงานแล้วก็จะมีสินค้าที่ส่งไปด้วย เพราะเป็นจุดผลิตเซมิคอนดักเตอร์ใหญ่ของโลก สุ่มเสี่ยงจะกระทบต่อสายการผลิตอุตสาหกรรม พื้นที่ตรงนี้หลายชาติเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง นโยบายต่างประเทศแต่ละชาติที่อยู่ในด้านตะวันตกล้วนอยู่ในยุทธศาสตร์ของอินโดแปซิฟิกด้วยกันทั้งสิ้น และมีการเสริมกำลังในส่วนนี้มากขึ้นซึ่งโอกาสกระทบกระทั่งก็สูงขึ้นด้วย แต่เราก็ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดสำนักงานผู้ช่วยทูตทหาร เปลี่ยนจากเรื่องพิธีการไปศึกษาเรื่องความมั่นคงมากขึ้นการเยือนของผู้นำเหล่าทัพก็ถูกถามเรื่องพวกนี้มากขึ้น
ส่วนทะเลที่อยู่ฝั่งตะวันออกของไทยถ้าเกิดอะไรขึ้น จะกระทบกับไทยหนักมากเพราะการเดินเรือจะชะงักหมดรวมถึงช่องแคบที่อยู่ด้านล่างด้วย จะกระทบเรื่องความมั่นคงทางด้านพลังงานที่ส่งจากฝั่งตะวันออกกลางรวมถึงสินค้าที่เราจะส่งไปขายกับคู่ค้า จึงอยากเชียร์ กองทัพเรือ ในเรื่องความมั่นคงทางทะเล
ในส่วนรอบบ้านเราถ้าความสงบไม่มี ก็จะกระทบแน่นอน ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศก็ได้ให้โจทก์เรื่องการช่วยเหลือด้านของมนุษยธรรมให้มากที่สุดเช่นการส่งของไปช่วย โดยประเทศตะวันตกต้องยอมรับเงื่อนไขตรงนี้ด้วยเพราะว่ามีผู้ได้รับผลกระทบนี้มีถึง 3,000,000 คนพวกนี้อยู่ใกล้ชายแดนไทยประมาณ 500,000 คน กองทัพไทยจึงต้องเป็นศูนย์กลางของทุกเหล่าทัพในการบูรณาการ นอกจากนั้น ไทยก็พยายามผลักดันดันให้ 5 ข้อตกลงอาเซียนเพื่อพูดคุยแนวทางไปสู่สันติภาพ แต่ระหว่างทางก็เกิดปัญหาตามแนวชายแดน เช่น เรื่องยาเสพติดซึ่งตอนนี้ราคายาบ้าลดลงเรื่อยๆ จับได้มากขึ้น 5 เท่าแต่การผลิตอาจมากถึง 10 เท่า ไม่เช่นนั้นราคาคงไม่ถูกลง ซึ่งการเฝ้าตรวจก็ทำได้แค่ระดับหนึ่งพื้นที่สีเทาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ลดลง จึงต้องมีนโยบายชัดเจนจะทำอย่างไร เพราะปัญหาส่งผลกระทบกับประเทศไทย และทั่วโลก
แท็กที่เกี่ยวข้อง ข่าวการเมือง ,กองทัพไทย