เลือกตั้งและการเมือง

'พิธา' คุยสื่อนอกปม 'บุ้ง' เสียชีวิต ชี้ควรได้สิทธิประกันตัว ย้ำต้องปฏิรูป ม.112

โดย nattachat_c

17 พ.ค. 2567

297 views

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับช่อง DW Deutsche Welle (ด็อยท์เชอเว็ลเลอ) สื่อเยอรมันเกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของ บุ้ง เนติพร


โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ @Pipob แปลคำให้สัมภาษณ์ของนายพิธา โดยนายพิธาอธิบายถึงอุดมการณ์ของ บุ้ง ทะลุวัง และเยาวชนหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ที่ถูกดำเนินคดีการเมือง และเรียกร้องสิทธิในการประกันตัว แต่กลับถูกปฏิเสธ ทำให้หนุ่มสาวเหล่านั้น ต้องอดอาหารเพื่อประท้วง ดังนั้น นายพิธา จึงมองว่า การปฏิรูปมาตรา 112 จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อรักษาสมดุลกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น


พิธีกร ถามความเห็นในการเสียชีวิตของ บุ้ง นายพิธา ตอบว่า เป็นความสูญเสียสุดเศร้าของประเทศไทย ที่เยาวชนได้เรียกร้องหลักนิติธรรม แทยที่การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือการปกครอง ซึ่งการคุมขังก่อนการดำเนินคดีนั้น ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย นั่นคืือสิ่งที่เธอได้ลุกขึ้นสู้ รวมไปถึงการต่อสู้ถึงสิทธิประกันตัว และสิทธิของประชาชนที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์


นี่คือ 3 สิ่งที่เธอต่อสู้ อาจจะใช่ที่ตอนแรกเธอต่อสู้เรื่องมาตรา 112 แต่เพราะว่าเธอถูกปฏิเสธการประกันตัว ดังนั้น พวกเด็กซึ่งถูกคุมขังก่อนดำเนินคดี จึงลุกขึ้นมาด้วยการอดอาหาร ซึ่งบุ้งก็ไม่ใช่คนเดียวที่อดอาหาร ผมรู้สึกเจ็บปวดต่อสิ่งที่ครอบครัวเธอได้รับ ที่สิ่งที่เธอได้รับ ที่น่าจะมีการเจรจากันที่จะไม่ทำให้เกิดการสูญเสียเช่นนี้


พิธีกรถามว่า เธอไม่ควรจะถูกคุมขัง แต่สิ่งที่เธอทำนั้น ก็ทำให้เธอถูกคุมขังไม่ใช่หรือ? นายพิธา ตอบว่า ในประเทศไทยนั้น การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันเป็นสิ่งที่ถูกห้าม แต่บริบทได้เปลี่ยนไปแล้ว เราในฐานะผู้ออกกฎหมายก็ต้องแก้ไขกฎหมายนี้ โดยให้การปกป้องพระประมุข ควบคู่ไปกับเสรีภาพของการแสดงออกให้เดินไปด้วยกันได้ ซึ่งต้องทำให้ทั้งสองอย่าง มีสัดส่วนที่ถูกต้องเมื่อพิจารณาถึงคำว่าเสรีภาพ และแม้ว่าบุ้งจะทำผิดจริง เธอก็ควรมีสิทธิได้รับการประกันตัว และต้องสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อน และเธอต้องเข้ารับกระบวนการพิจารณาก่อนว่าถูกหรือผิด แต่เธอก็ไม่ได้รับสิทธิประกันตัว เธอจึงเลือกอดอาหารประท้วง


เมื่อพิธีกรถามว่า นายพิธาเคยหาเสียงในการเลือกตั้งว่าจะแก้ไขมาตรา 112 ตอนนี้ยังมีจุดยืนสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 อยู่หรือไม่ นายพิธา ตอบว่า เราทำทุกอย่างเพื่อรักษาประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขโดยผ่านรัฐสภา  


เมื่อพิธีกรถามย้ำอีกครั้งว่า นายพิธายังมีจุดยืนสนับสนุนการแก้ไขมาตรา112 หรือไม่  นายพิธาจึงตอบว่า “ใช่ครับ ภายในกรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”


เมื่อพิธีกรถามว่า ในเมื่อนายพิธาชนะการเลือกตั้ง แต่ก็ยังแก้ไขกฎหมายตามสัญญาไม่ได้ แล้วใครจะแก้ได้ นายพิธาตอบว่า “ต้องมีการอธิบายเพื่อลดแรงต้าน ต้องใช้เวลา”


พิธีกรยังถามว่า ระบบศาลไทยเป็นอิสระ น่าเชื่อถือหรือไม่ นายพิธาตอบว่า ยังคงยังคงมีการคุกคามด้วยกระบวนการยุติธรรม หรือ judicial harassment  พร้อมยกตัวอย่างว่า ตนเองก็ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ 6 เดือน ระหว่างเลือกนายกฯ อย่างไม่เป็นธรรม ศาลไทยได้คะแนน 4.9/10 อยู่ในอันดับที่ 82/140 ของโลก คดีที่อ่อนไหวไม่สามารถตัดสินได้อย่างเป็นธรรม


พิธีกรถามว่า พรรคก้าวไกลจะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคหรือไม่  นายพิธา ตอบว่า ถ้าดูประวัติศาสตร์ ก็เป็นไปได้ เป็นวงจรอุบาทก์รอบที่ 5 แต่พรรคก้าวไกลจะสู้คดีเต็มที่ ซึ่งคงเทียบกันระหว่างศาลรัฐธรรมนูญในเยอรมนีกับไทยไม่ได้


พิธีกรถามว่า พรรคก้าวไกลหาเสียงด้วยการเสนอจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใหญ่ ๆ รวมทั้งปฏิรูปกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ เป็นคำสัญญาที่เกินจริงไปหรือไม่ (overpromise) นายพิธา ตอบคำถามนี้ว่า “เราเสนอว่าจะ Demilitarize, Demonopolize, Decentralize เชื่อว่าไม่ได้ overpromise แต่ถูกขัดขวางด้วย สว.”


ส่วนประเด็นที่ว่าพรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ ไปจับมือขั้วอื่นจัดตั้งรัฐบาล แทนที่จะจับมือกับก้าวไกลนั้น ถือว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมหรือไม่ นายพิธา ตอบว่า ส่วนตัวเชื่อว่ามี Legitimacy crisis ถ้า underperform ประชาชนคาดหวังการปฏิรูปหลังจาก Lost decade ของระบอบทหาร แต่ 7 เดือนผ่านไป ยังไม่มีการปฏิรูปใด ๆ เกิดขึ้น ส่วนจะเรียกว่าเป็นการปล้นการเลือกตั้งหรือไม่นั้น นายพิธา ระบุว่า เรื่องนี้เป็น ผลมาจากรัฐธรรมนูญปี 60 ซึ่งรู้ล่วงหน้าแล้วว่า แม้จะชนะเลือกตั้ง แต่อาจจะไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้  แต่พวกตนพยายามทำดีที่สุดแล้ว


ส่วนที่รัฐบาลจะทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายพิธามองว่า มีความจริงใจหรือไม่ นายพิธา ตอบว่า “Remain to be seen หวังว่าเขาจะจริงใจ  และยังมีปัญหาซ่อนเงื่อนเกี่ยวกับคำถามประชามติ”


พิธีกรยังถามถึงวันที่ 22 พ.ค.นี้ ที่จะครบ 10 ปีของการรัฐประหาร ประชาธิปไตยของไทย ก้าวหน้าไปอย่างไรบ้าง นายพิธาตอบว่า “มันเป็น Lost decade ฝ่ายอำมาตย์ tyranny of minority ยังคงใช้อำนาจผ่านองค์กรอิสระ เพื่อปิดกั้นการเปลี่ยนแปลง  แต่ฝ่ายชนชั้นนำก็ฉลาดขึ้น  แทนที่จะใช้กำลังทหารเพื่อทำรัฐประหาร ใช้ความรุนแรงในถนน  พวกเขาใช้ judicial coup รัฐประหารโดยศาล ใช้ lawfare นิติสงคราม ตอนนี้พวกเขาในความรุนแรงในศาลแทน   ฝ่ายประชาธิปไตยทั่วโลกต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือ ป้องกันไม่ให้เกิดระบอบอำนาจนิยม”


สุดท้ายกับคำถามว่า เมื่อไม่ได้เป็นนายกฯ ทั้งที่ชนะการเลือกตั้ง รู้สึกขมขื่นหรือไม่ นายพิธาตอบว่า ไม่ และเชื่อว่าตนยังคงมีโอกาสเป็นนายกฯ  โดยนายพิธาพูดประโยคนี้ถึง 2 รอบ  และยังย้ำด้วยว่า ต้องรักษาตวามซื่อสัตย์ทางการเมือง ไม่งั้นนอนไม่หลับ และไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจแบบนั้น

---------------


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/vxIDmKgmy7Q

คุณอาจสนใจ

Related News