เลือกตั้งและการเมือง

'วิโรจน์' ซัดกองทัพยุคบิ๊กทิน ไม่ใช่ 'ปฏิรูปกองทัพ' แค่ทำตามบิ๊กตู่ อัดคนไทยกินข้าว เลิกกินช็อกมิ้นต์

โดย nattachat_c

5 เม.ย. 2567

13 views

วิโรจน์ ปูดคนในรัฐบาลต่อสาย กองทัพเรือ จ้องตบทรัพย์เรือฟริเกต แฉนโยบายกองทัพยุค บิ๊กทินไม่ใช่คิดใหม่ ทำใหม่ แต่เป็น การทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ จากลุงตู่ อย่าหวังได้คะแนนเลือกตั้ง ประชาชนกินข้าวไม่ได้กิน ซ็อกมิ้นต์ ด้านนายกฯ ผิดหวังวิโรจน์ อภิปราย40 นาที ข้อมูลเดิมๆมีแต่น้ำ วาทกรรมด้อยค่า เหน็บ ยังเป็นฝ่ายค้านที่งุนงง วันก่อนบอกให้ใช้เรือประมงแทนเรือรบ แต่วันนี้เชียร์เหลือเกินให้ซื้อเรือฟริเกต ลั่นหากมีเงินทอนจริงให้ส่งหลักฐานมา ยืนยัน กองทัพมีไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่ความมั่งคั่งของใครคนใดคนหนึ่ง


วานนี้ (4 เม.ย. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เป็นวันที่ 2


เวลา 10.05 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตามคำแถลงนโยบายด้านกองทัพของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยระบุว่า จะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ ลดจำนวนนายพลลง ปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธยุทโธปกรณ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การจะนำพื้นที่ไม่จำเป็นของกองทัพมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ ตามที่นายเศรษฐาเคยพูดว่านี่คือการพัฒนาร่วมกัน


แต่กลับพบว่าเป็นแค่การสมยอมกับกองทัพในการปรุงแต่งตบตาประชาชน เอานโยบายรัฐบาลชุดที่แล้วมาทำแล้ว ทำอยู่ มาทำต่อ แล้วใช้คำให้ประชาชนหลงเชื่อว่า นี่คือการปฏิรูป ต้องถามว่า การดำรงอยู่ของกองทัพ มีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงของประเทศและประชาชน หรือเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ของผู้ที่อำนาจจากการเสพสุขและอำนาจของกองทัพจากรุ่นสู่รุ่น


นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า การปฏิรูปกองทัพ ไม่ใช่การทำลายกองทัพหรือด้อยค่ากองทัพอย่างที่นายสุทินเคยให้สัมภาษณ์ หากไม่มีการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง ทุกการกระทำของกองทัพจะถูกประชาชนตั้งแง่ทันที หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ จะทำให้ภาพลักษณ์กองทัพตกต่ำลง ทำงานลำบาก และจะมีคนกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสตบทรัพย์ ต่อรองเอางบประมาณจากกองทัพ หากกองทัพไม่โปร่งใสก็จะถูกนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเอาความลึกลับดำมืดมาเป็นชะนักปักหลัง ซึ่งตนมีเรื่องที่จะสะท้อนให้นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ทราบดังนี้


การปรับลดกำลังพล แม้ขณะนี้รัฐบาลจะประโคมข่าวความสำเร็จของการรับสมัครทหารแบบออนไลน์ ที่เพิ่มขึ้น 15,163 นาย เพิ่มขึ้นจากปี’66 ที่มีจำนวน 10,156 นาย ปี’65 6,600 นาย ปี’64 3,200 นาย หากดูยอดออนไลน์ จำนวนเพิ่มขึ้นจริง แต่เป็นคนละเรื่องกับการลดกำลังพล และการรับสมัครทหารแบบออนไลน์ก็ทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลชุดที่แล้วตั้งแต่ปี’64 หากการสมัครทหารแบบออนไลน์ เป็นกลไกที่จะยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้จริง เมื่อรวมยอดการสมัครที่หน้างานและยอดสมัครแบบออนไลน์ จำนวนยอดสมัครทั้งหมดก็ควรจะเพิ่มขึ้น ซึ่งในปีก่อนๆ มีจำนวนผู้สมัครทหารสูงสุดมากถึง 5 หมื่นคน แต่ในปี’64 ที่มีการรับสมัครทหารออนไลน์รวมกับการสมัครที่จุดเกณฑ์ทหาร มีจำนวนกำลังพลลดลงเหลือเพียง 28,572 นาย ปี’65 เหลือเพียง 3 หมื่นนาย ปี’66 เหลือเพียง 35,000 นาย ซึ่งการสมัครทหารทั้งแบบวอล์กอิน และออนไลน์ มีแนวโน้มลดลงด้วยซ้ำ นี่คือการตบตาประชาชน โดยนำแค่ยอดสมัครทหารออนไลน์มานำเสนอ 11 ปี จำนวนลดลงเฉลี่ยปีละ 1,500 นาย


สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำไม่มีอะไรใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำอยู่แล้ว คือการบรรจุกำลังพลในอัตราร้อยละ 70 ของอัตราความต้องการจริง การลดอัตรากำลังพลที่ต้วมเตี้ยมแบบนี้ ไม่ใช่การพัฒนาร่วมกันแน่ๆ หากต้องการปฏิรูปกองทัพอย่างแท้จริง กระดุมเม็ดแรก คือการปรับปรุงโครงสร้างภายในกระทรวงกลาโหม ยกเลิกหน่วยงานซ้ำซ้อน ประเมินภัยคุกคามและบริบทความมั่นคงในโลกยุคใหม่ ที่มีความต้องการกำลังพลทหารราบลดลงในทุกประเทศ และต้องนำพลทหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหาร ออกจากระบบให้หมด ซึ่งแผนการยุบหน่วยงานในปีงบประมาณ 67-68 ลดกำลังพลได้เต็มที่ 1,700 อัตรา ประหยัดงบประมาณได้แค่ 34 ล้านบาท จากงบทั้งหมด 93,000 ล้านบาท


นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า อีกวิธีโดยการนำอัตรากำลังพล และอัตรากำลังแรงงานมาคิด ซึ่งคิดแล้วประเทศไทยจะมีกำลังพลราวๆ 6 หมื่นนาย TDRI ประเมินว่า ในสังคมผู้สูงวัย ทำให้อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง พร้อมทั้งได้เสนอการลดการเกณฑ์ทหารลง ให้เหลือเพียงปีละ 5 หมื่นนาย เพื่อให้ประชากรวัยแรงงานได้ประกอบอาชีพเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ หากรัฐบาลปรับยอดกำลังพลให้อยู่ในระดับที่จำเป็น นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว จะทำให้รัฐบาลมีงบเพียงพอในการปรับปรุงสวัสดิการ และทำสัญญาจ้างทหารอาชีพสมัครใจระยะยาว 4-5 ปี อีกทั้งยังช่วยให้การปฏิบัติการทางทหารมีประสิทธิภาพขึ้น หรือการที่ต้องมีพลทหารเยอะขนาดนี้ เพราะเป็นผลประโยชน์หล่อเลี้ยงบรรดานายพลที่หากินกับการบังคับเกณฑ์ทหาร ในทุกปีจะมีคนที่ไม่ต้องการเกณฑ์ทหาร ก็จะมีสัสดีบางกลุ่มนำใบ สด.43 ปลอม หลอกขายประชาชน ซึ่งตกใบละ 5 หมื่นบาท หาก 1 ปีหลอกขายได้ 6 หมื่นคน ความเสียหายก็อยู่ที่ 3 พันล้านบาท รวมทั้งการฝึกทหารในค่ายก็สามารถยกเงินเดือนให้นายพล 1 หมื่นบาท หากมีการลักลอบปล่อยทหาร 2 หมื่นนาย เราก็เสียประโยชน์ 2,400 ล้านบาท เป็นเพราะเรื่องเหล่านี้หรือไม่ที่ทำให้ไม่ยอมยกเลิกการเกณฑ์ทหาร


“การลดจำนวนนายพล จากการที่รัฐบาลแถลงข่าวว่า ปี’70 จะลดจำนวนนายพลลงร้อยละ 50 นี่ไม่ใช่การลดจำนวนนายพลลงครึ่งหนึ่ง แต่เป็นการลดจำนวนนายพลเกินจำเป็นที่ไม่มีหน้าที่ชัดเจน ให้เหลือน้อยกว่า 300 นาย แต่จำนวนนายพลที่เกินจำเป็นต้องเป็น 0 ใช่หรือไม่ ซึ่งนายสุทินไม่ต้องทำอะไรจำนวนนายพลก็จะลดลงอยู่แล้ว เพราะโรงเรียนเตรียมทหารรับสมัครนักเรียนลดลง ตนถามว่าหากสำเร็จ งบบุคลากรของกองทัพจะลดลงหรือไม่” นายวิโรจน์กล่าว


ที่ดินราชพัสดุมีทั้งหมด 12 ล้านไร่ แต่ครอบครองโดยกองทัพถึง 6.25 ล้านไร่ ซึ่งกองทัพบกถือไว้มากถึง 4.5 ล้านไร่ ใน 4.5 ล้านไร่นี้ อยู่ใน จ.กาญจนบุรี และราชบุรีถึง 3 ล้านไร่ มีทั้งที่ดินรกร้าง และที่ดินบางส่วนถูกนำไปใช้ทำสวัสดิการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ บ้านพักตากอากาศ สนามมวย โดยไร้ความโปร่งใส โดยมีรายงานผลกำไรในธุรกิจทุกเหล่าทัพเพียงปีละ 70-80 ล้านบาท หากทำธุรกิจแล้วกำไรน้อยขนาดนี้จะทำทำไม ที่บอกว่านำกำไรไปจัดทำสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อยนำไปทำอะไร ตรงกับความต้องการของเขาหรือไม่ ตลกร้ายที่กองทัพฮุบที่ดินไว้เป็นจำนวนมหาศาล ในขณะที่ภาคเกษตรกำลังประสบปัญหาขาดแคลนที่ดิน โดยมีเกษตรกรมากกว่าครึ่งไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการเกษตรเป็นจำนวนมาก


ที่ผ่านมารัฐบาลของนายเศรษฐา ก็พยายามที่จะเอาที่ดินของกองทัพมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ โดยตั้งชื่อใหม่สวยหรูว่า โครงการธนารักษ์เพื่อราษฎร์ หรือหนองวัวซอโมเดล ซึ่งไม่ใช่โครงการใหม่อะไรเลย เพราะทำมาอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2547 ในชื่อโครงการรัฐเอื้อราษฏร์ และเปลี่ยนชื่อในปี 2562 เป็นโครงการธนารักษ์ประชารัฐ ที่รูปแบบโครงการเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการเอาโครงการของ พล.อ.ประยุทธ์มาปัดฝุ่นเปลี่ยนชื่อ งบประมาณของแต่ละเหล่าทัพ ปัจจุบันสถานการณ์ตามบริบทโลกก็เปลี่ยนแปลงไป แต่งบที่จัดสรร 5 ปีย้อนหลัง กองทัพบกได้ไป 5 แสนล้าน ส่วนกองทัพเรือและอากาศได้ไป 4 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่ากองทัพใช้วิธีจัดสรรงบตามโควต้า 2:1:1 ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์แบบใหม่ แต่กองทัพกลับปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม แล้วจะรักษาดำรงความมั่นคงประเทศได้อย่างไร


นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่กล้าสั่งการทางนโยบายต้องมาขอร้องกองทัพให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงขอยืนยันว่า ตราบใดที่นายสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ อนาคตของธุรกิจและอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศมีแต่มืดมน พอกันทีกับการเล่นละครตั้งชื่อซีรีส์ว่า การพัฒนาร่วมกัน แต่ละครแบบนี้หวังมาให้ได้ซึ่งคะแนนเสียงการเลือกตั้งไม่ได้อีกแล้ว ประชาชนเขากินข้าว เขาเลิกกินช็อกมิ้นต์แล้ว


“รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไรใหม่เลย นี่ไม่ใช่การคิดใหม่ทำเป็น แต่เป็นการทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และถ้านายสุทินกับนายเศรษฐายังคงฝืนทำแบบนี้ต่อไป ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนที่ถูกหลอก รู้สึกไม่ไว้วางใจกองทัพ และไม่เป็นผลดีต่อการจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนการขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ” นายวิโรจน์กล่าว

------------
นายวิโรจน์ ยังเปิดเผยว่า ตนมีสายข่าวในกองทัพเรือ ถึงการจัดซื้อเรือฟริเกต วงเงิน 1,700 ล้านบาท มีคนของรัฐบาล พยายามต่อสายจะคุยกับกองทัพเรือด้วย แต่กองทัพฯ ปฏิเสธ และยอมถูกตัดงบเหลือ 850 ล้าน แต่สุดท้ายกองทัพเรือกลับถูกตัดงบประมาณดังกล่าว แม้กองทัพเรือจะขออุทธรณ์ กรรมาธิการงบประมาณ ก็ยังตัดงบประมาณ


นายวิโรจน์ ยังระบุว่า ในอีก 2 ปี  เรือฟริเกตไทยต้องจะต้องปลดระวางลงอีก 1 ลำ  ทำให้เหลือเรือฟริเกต ไทยเพียง 3 ลำ อาจทำให้ไม่เพียงพอ ทั้งที่มีความจำเป็น เพราะจะต้องคุ้มครองเส้นทางคมนาคมทางเรือ คุ้มกันเรือน้ำมันและเรือสินค้า รวมถึงลาดตระเวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน   การจัดซื้อเรือฟริเกตลำนี้ จะเป็นการต่อเรือรบขนาดใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย และได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศ เกิดการจ้างงาน และซื้อวัสดุในประเทศมหาศาล  ดังนั้น การตัดงบประมาณครั้งนี้ จึงเป็นการตัดโอกาสประเทศ และอาจจะต้องรอถึงปี 2569 กองทัพเรือถึงจะสามารถของบประมาณใหม่ได้


นายวิโรจน์ ยังได้เปิดคลิปงานสัมมนาทิศทางอุตสาหกรรมเพื่อความมั่นคง ที่นายสุทินระบุว่าขอให้สภากลาโหม จัดซื้อยุทโธปกรณ์ในประเทศ หรือหากซื้อไม่ได้ ก็ขอให้มีเงื่อนไขในการซื้อชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ หรือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ด้วย  นายวิโรจน์ระบุว่า นายสุทิน เป็นรัฐมนตรีกลาโหม มีอำนาจสั่งการ แต่กลับขอกองทัพ จึงทำให้รู้สึกสิ้นหวัง และยืนยันได้ว่า หากนายสุทินเป็นรัฐมนตรีอยู่ จะทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีแต่ความมืดมน


นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงการลดจำนวนนายพล ที่รัฐบาลหลอกประชาชน  โดยประกาศในปี 2570 จะลดจำนวนนายพลลงร้อยละ 50  เป็นนายพลที่ไม่มีหน้าที่ชัดเจน  โดยตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนนายพลที่ไม่มีความจำเป็นควรเป็นศูนย์ พร้อมเห็นว่า นายสุทิน ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใด ๆ เพราะจำนวนนายพลจะลดลงอยู่แล้ว  ซึ่งที่ผ่านโรงเรียนเตรียมทหาร รับจำนวนนักเรียนเตรียมทหารลดลง 150 คน ตั้งแต่รุ่นผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดปัจจุบันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  จึงถือเป็นการตบตาประชาชน ฉกฉวยโอกาสการลดจำนวนนักเรียนเตรียมทหารที่รับเข้าน้อยลงมาอ้างผลงาน เช่นเดียวกับโครงการเออรี่ รีไทร์ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และงบประมาณบุคลากรของกองทัพ ก็ไม่ได้ลดลง


ส่วนที่ดินราชพัสดุ 12 ล้านไร่ของกองทัพนั้น นายวิโรจน์ ระบุว่า กองทัพบกครอบครอง ถึง 4,500,000 ไร่, กองทัพอากาศ-กองทัพเรือ รวมกัน 1,750,000 ไร่  รวมถึงยังมีที่ดินรกร้าง  ทั้งที่เกษตรกรยังขาดแคลนที่ดินทำกิน  แต่ที่ดินกองทัพบางส่วนถูกนำไปใช้ทำสวัสดิการธุรกิจ ทั้งสนามกอล์ฟ สถานพักตากอาหาศ และสนามมวย โดยขาดความโปร่งใส ไม่ชี้แจงการจ่ายค่าเช่าให้กับกรมธนารักษ์ และมีการทำบัญชีถูกต้องหรือไม่ และที่ผ่านมา รายงานกำไรเพียงเล็กน้อยทุกเหล่าทัพ เพียง 70 ล้านเท่านั้น พร้อมเห็นว่า รัฐบาล ควรนำที่ดินที่เกินจำเป็นของกองทัพ  คืนแก่รัฐบาล  เพื่อนำไปแบ่งสรรให้ท้องถิ่น สร้างสาธารณูปโภคที่จำเป็น เพื่อให้เกิดความเจริญ และเศรษฐกิจชุมชน


นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของเหล่าทัพ ที่เหตุใดไม่ซื้ออาวุธกับผู้ประกอบการในประเทศที่มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง  มีอะไหล่สำรอง และมีวิศวกรซ่อมแซม  แต่กลับจัดซื้อกับโบรคเกอร์ ที่อ้างเป็น SMEs และใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ล็อบบี้ เคลียร์เงินทอน ยกเว้นภาษี และนำอาวุธจากต่างประเทศ มาขายให้กับกองทัพ เมื่อชำรุดก็ต้องรออะไหล่นาน หรือปิดบริษัททิ้ง


นายวิโรจน์ ยังเห็นว่า นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลในการบริหารกองทัพ ไม่ได้มีนโยบายใดใหม่ แต่เป็นนโยบายของพลเอกประยุทธ์  จึงขอถามนายสุทิน กล้ามองหน้ากองทัพเรือที่ยึดหลักและรายละเอียดเพื่อให้เกิดการอุตสาหกรรมการต่อเรือในประเทศไทยหรือไม่ และขอให้นายสุทิน หยุดเล่นละครการพัฒนาร่วมกัน เพราะละครเช่นนี้ จะไม่สามารถหวังได้คะแนนเลือกตั้งได้อีกแล้ว เพราะประชาชนกินข้าว ไม่ได้กินช็อกมินต์

--------------
หลังจากนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร  สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล  อภิปรายเสร็จ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ก็ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนอุตส่าห์มาฟังฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์กระทรวงกลาโหมเรื่องของกองทัพ จริงๆ ก็เป็นเรื่องเดิมๆ ก็ผิดหวังนิดหน่อย เพราะเป็นเรื่องน้ำๆ ทั้งนั้น 


ยืนยันว่า กองทัพมีไว้เพื่อความมั่นคง ไม่ใช่ความมั่งคั่งของใครคนใดคนหนึ่ง เรื่องวาทกรรมด้อยค่าต่างๆ เรื่องที่ว่าภาพลักษณ์ตกต่ำ ใช้ไอโอดำมืดลึกล้ำต่างๆ เหล่านี้  ตนขอว่าให้เวลารัฐบาลบริหารงานให้ครบ 4 ปี  ประชาชนจะตระหนักดีในตอนจบเองว่า คนที่ใช้ไอโอพยายามครอบงำคนให้หน้ามืดตามัวจริงๆ แล้วคือใคร เรื่องที่รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกำลังทำอยู่นั้น ยืนยันว่าเป็นการพัฒนาร่วมกัน


ตนเชื่อว่า ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องการสมัครใจเกณฑ์ทหาร หรือเรื่องที่ท่านใช้คำที่ว่าไปซื้ออะไรมาก็ต้องไปเอาอะไรกลับคืนมาบ้าง ยกตัวอย่างที่มาเลเซีย ตนก็ได้คุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า เราก็ต้องมีเรื่องพวกนี้เช่นกัน  เรื่อง account trade  ไม่ใช่ว่าเราไปซื้ออาวุธเขามาแล้วไม่ได้ไปเอาอะไรเขามา


ส่วนการคืนพื้นที่ทหาร เช่น หนองวัวซอโมเดล ก็ทำมาหลายปีแล้ว ซึ่งก็ยอมรับว่าใช่ ไม่มีความคืบหน้าเท่าไหร่ แต่มามีความคืบหน้าในรัฐบาลนี้ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ก็เชิญผู้บัญชาการทหารบกมาพูดคุย เรื่องการขอคืนพื้นที่ในจังหวัดลพบุรี ซึ่งไม่ใช่แค่การคืนมาเฉย ๆ แต่จะนำมาทำระบบชลประทานให้ประชาชน ซึ่งจะต้องค่อย ๆ ทำ แต่ยืนยันว่ามีความคืบหน้าในการคืนพื้นที่ต่างๆ ที่เราจะทำให้พี่น้องมีพื้นที่ทำกินมากยิ่งขึ้น


นายเศรษฐา ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องเงินทอน ท่านก็พูดมาหลายครั้งแล้ว และตนก็ได้ย้ำมาตลอดว่าถ้าหากมีเงินทอนก็ให้นำหลักฐานมา ส่วนเรื่องเรือฟริเกตที่ท่านเชียร์เหลือเกิน  ถ้าตนพูดกลับไปว่าพวกท่านมีเงินทอนท่านก็คงไม่พอใจเหมือนกัน เรื่องนี้ควรจะเอาหลักฐานมาพูดกันดีกว่า  เรือฟริเกตที่สนับสนุนให้ต่อในไทยนั้นเป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่มันมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมีหลายมิติเราพยายามให้ทางกองทัพได้ของที่ดีที่สุด


“พยายามฟังมา 40 นาที ก็ยังเข้าใจว่าเป็นฝ่ายค้านที่งงอยู่เหมือนกัน เพราะพวกท่านเคยพูดว่า เอาเรือประมงมารบแทนเรือรบ แต่วันนี้ก็จะมาสนับสนุนให้ซื้อเรือรบอีก งุนงงมาก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องการใช้วาทะกรรม ผมว่าเรามาพูดกันเรื่องเนื้องานดีกว่า เราพยายามที่จะพัฒนากองทัพต่อไป


และเรื่องของการซื้ออาวุธก็จะให้มีความโปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริตและคำนึกถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ภาคอื่นจะได้จากการที่เราซื้อขายอาวุธด้วย ขอยืนยันอีกครั้งว่า กองทัพมีไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ”

--------------

ด้าน พิธา กล่าวว่า ตนรู้สึกว่าในสภามีการอภิปรายไปหมดแล้ว แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ยังถกกันไม่ตกผลึก และยังไม่เห็นภาพชัดเจน คือ เครื่องมือในการปฏิรูปกองทัพ นายกรัฐมนตรีบอกว่าฝ่ายค้านงง ตนก็งงท่านเหมือนกัน ตอนก่อนเลือกตั้งท่านพูดอีกอย่าง ตอนหลังเลือกตั้งพูดอีกอย่าง


นายพิธา อ่านนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคเพื่อไทย แล้วกล่าวว่า  ตอนดีเบต นายกรัฐมนตรีก็พูดคล้ายนโยบายคล้ายพรรคก้าวไกล และมาบอกว่าตนพูดเรื่องเดิมบ้าง ไอโอบ้าง อาวุธบ้าง วิธีการในการที่จะปฏิรูปไม่ต้องเอาแบบก้าวร้าว ต้องใช้ความนุ่มนวล ที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจงมา ตนว่าสุดยอดมาก น่าเสียดายที่ไม่ได้พูดแบบนี้ตอนก่อนเลือกตั้ง


“ผมก็เลยงงว่าไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านยังรู้สึกว่างง เช่น เรื่องไอโอ ก็เดี๋ยวจะพิสูจน์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ว่าใครกันแน่ที่มอมเมาประชาชน หากท่านยังไม่รู้ ผมขอเสนอให้ไปอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก ที่ทำรายงานตั้งแต่ก่อนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยทหารไทย นอกจากนี้ยังมีของสำนักข่าวรอยส์เตอร์ มหาวิทยาลัยโตรอนโต อยากให้ไปศึกษาเผื่อจะหาคำตอบได้ก่อนสิ้นปี ว่าใครเป็นคนทำไอโอ มอมเมาประชาชน” นายพิธา กล่าว


นายพิธา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่า งงเรื่องเกี่ยวกับอาวุธในจุดยืนของพรรคก้าวไกล มีการยกคำกล่าวจะเอาเรือประมงไปรบ ตนเดาเอาว่านายกรัฐมนตรีอาจหมายถึงตน เนื่องจากตนเคยพูดเรื่องแบบนี้ในรายการดีเบตของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา


“เรื่องแบบนี้มันพัฒนาไปเยอะ มีการใช้เรือประมงมาดัดแปลงเป็นอาวุธของกองทัพ ... เทคนิคในการทำสงครามมันเปลี่ยนไปเยอะ มันมีประเทศบางประเทศเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ ที่มีเรือเป็น 20,000 ลำ ที่ใช้เรือประมงผสมกับเรือรบ ที่ไม่ได้ใช้อาวุธตามปกติ จะได้เข้าใจตรงกันและจะได้เลิกล้อผมสักที” นายพิธา กล่าว


นายพิธา ย้ำถึงเรื่องเรือฟริเกต ว่า อุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดขึ้นได้ แบบไม่ได้เบียดเบียนภาษีของประชาชนมากเกินไป ทำให้เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจได้ด้วย ดังนั้นในเมื่อเข้าเงื่อนไขแบบนี้ตนก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร หวังว่านายกรัฐมนตรีจะหายงง


“ตอนที่มีเลือกตั้ง ไม่ได้เจอนายกฯ สักเท่าไหร่ในเวทีดีเบต เจอแต่หัวหน้าท่าน ทำให้ไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องนี้” นายพิธา กล่าว


นายพิธา กล่าวถึงเรื่องสะสาง ตนพอจะจับทางนายกรัฐมนตรีได้แล้ว โดยจับคำพูดได้คำหนึ่งว่าอยากจะเน้นเรื่องบวก ให้เป็นแสงสว่าง ไม่อยากเน้นเรื่องปัญหา แต่ในความเป็นจริงข้อเท็จจริง ไม่ได้มีแต่เรื่องบวก ประเทศมีทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน เรื่องความท้าทาย รวมไปถึงโอกาส คนที่จะเป็นผู้นำได้ ถ้าโฟกัสแต่เรื่องบวกอย่างเดียว ก็จะเกาไม่ถูกที่คัน วินิจฉัยผิดตลอดเวลา เวลาที่นายกรัฐมนตรีเอาตัวเลขมาพูดในสภา จะเน้นเอาตัวเลขที่พวกเป็นผลดีกับรัฐบาล แต่ไม่มีบริบท ไม่ครบถ้วน เป็นเหรียญด้านเดียว


ช่วงนี้ นายพิธาขอประท้วงประธานว่า ให้ตรวจสอบว่าสไลด์ของตนรั่วไหลหรือไม่ เพราะก่อนหน้าตนอภิปรายมีรัฐมนตรีลุกชี้แจงได้อย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าตนจะธิบายเรื่องนี้ ขนาด สส. ยังไม่เห็นรู้เลย

---------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/KzmH3AFpVBY

คุณอาจสนใจ

Related News