เลือกตั้งและการเมือง

"หมอชลน่าน" แถลงเดือด ไล่อินฟลูเอนเซอร์-ตร.วัยเกษียณดูกฎหมายยาเสพติด

โดย gamonthip_s

12 ก.พ. 2567

235 views

12 ก.พ. 2567 เวลา 16.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.ภานุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) แถลงข่าวมาตรการรองรับ หลังการประกาศกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. 2567 โดยใช้เวลาในการแถลงกว่า 1 ชั่วโมง


โดย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจโดยเฉพาะประเด็นที่สังคมเข้าใจคาดเคลื่อน เรื่องของกฎกระทรวงฉบับนี้ และนำไปสื่อสารในทางที่อาจจะเกิดผลกระทบต่อภาพใหญ่หรือสังคมโดยรวม โดยเฉพาะความมั่นใจ ในการที่รัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเป็นควิกวิน จะต้องงดยาเสพติดให้ได้ภายใน 1 ปี โดย นพ.ชลน่านย้ำถึงนโยบายรัฐบาล 3 ป. ได้แก่


1.ปลุกชุมชนให้เข้มแข็ง จุดแตกหักชัยชนะของยาเสพติดอยู่ที่ชุมชน จึงใช้มาตรการนี้รองรับ ให้ชุมชนเป็นฐานในการฟื้นฟูยาเสพติด


2.เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย เป็นการให้โอกาสกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ผู้ติดยาเสพติดที่ไม่มีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้ามีโอกาสกับตัวเป็นคนดี ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดคือการบำบัดฟื้นฟู ทั้งมิติการแพทย์ และสังคม โดยการจะนำเข้าสู่การบำบัดฟื้นฟูได้ต้องมีความชัดเจนว่าเขาเป็นผู้เสพหรือไม่ จึงเป็นที่มาของกฎกระทรวงฉบับนี้ และกฎหมายฉบับนี้ เน้นการบำบัดรักษาโดยสมัครใจ ถ้าไม่สมัครใจถือว่าต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามฐานความผิด


3.การปราบผู้ค้าผู้ที่เกี่ยวข้อง โทษหนักยึดทรัพย์ กำจัดข้าราชการที่ทำผิดโดยถอนรากถอนโคน


นพ.ชลน่าน ย้ำว่า คนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมด ถือว่ามีความผิดทั้งหมด ต้องรับโทษ ยืนยันว่ากฎกระทรวงฉบับนี้อยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมยาเสพติด แต่เป็นการเปลี่ยนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ใช้มาตรการให้ชุมชนป้องกันยาเสพติด ให้โอกาสผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ไม่ใช่ผู้ค้าให้กลับตัวเป็นคนดี เข้าสู่การบำบัดฟื้นฟู แต่จะต้องมีความชัดเจนว่าเป็นผู้ป่วยหรือไม่ โดยยืนยันว่าใครมียาบ้าในการครอบครอง ผู้เสพ ผู้ครอบครอง ผู้ค้า มีความผิดทั้งหมดตามกระบวนการกฎหมาย แต่สำหรับผู้เสพถ้าพิสูจน์ได้ว่าเสพ เช่น ผลปัสสาวะเป็นสีม่วง มีความผิดฐานมียาเสพติดไว้เสพ โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000บาท ส่วนผู้ที่มียาเสพติดครอบครองไม่เกิน 5 เม็ด มีโทษฐานครอบครองยาเสพติด จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท แต่ถ้าเป็นผู้ค้ายาเสพติด ไม่มีกำหนดปริมาณเม็ดแต่ดูจากพฤติการณ์ มีความผิดจำคุก1-10ปี ปรับ 20,000-1,500,000 บาท


“ผมขีดเส้นใต้ชัดเจนว่า หากใครมีพฤติกรรมเสพยาบ้า หรือมียาบ้าไว้ในครอบครองล้วนมีความผิด แต่กฎหมายฉบับนี้เห็นว่าถ้าให้โอกาสคนหลงผิดมียาเสพติดเล็กน้อย เช่น มียาบ้า 5 เม็ด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเขามีไว้เพื่อเสพ แล้วยินยอมเข้าสู่การบำบัดโดยสมัครใจ ต้องผ่านการบำบัดจนครบหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ โดยผู้เสพติดจะต้องเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูทางการแพทย์ ต้องได้รับใบรับรองจากผู้อำนวยการสถานบำบัดศูนย์ยาเสพติดซึ่งเป็นแพทย์ลงนามรับรอง ส่วนผู้ใช้ยาเสพติดแต่ไม่มีอาการ จะต้องเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูจากสังคมหรือค่ายบำบัด ถ้าผ่านรับรองจากผู้อำนวยการสถานบำบัดลงนามครบแล้วทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ จึงจะพ้นจากความผิด ไม่ต้องรับผิด ดังนั้นการบำบัดรักษาเป็นกระบวนการหนึ่งของการลงโทษ


ซึ่งระยะเวลาในการบำบัดผู้เสพยาเสพติด นับตั้งแต่ระยะเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน และระยะยาว ใช้เวลาบำบัดอย่างน้อย 3-4 เดือน โดยผู้ที่ครอบครองยาผ่านขั้นตอนบำบัดทั้งหมด ส่งไปชุมชนบำบัด เป็นค่าย ฟื้นฟูทางสังคม ฟื้นฟูอาชีพความเป็นอยู่ เพื่อลดอัตราการกลับไปเสพยา แต่หากผู้เสพยาเสพติดปฏิเสธเข้าสู่กระบวนการบำบัด จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเดิม


ส่วนเรื่องที่มีคนเข้าใจผิดกันว่าตนไปออกกฎหมาย ตนเน้นย้ำว่าไม่ได้ออกกฎหมาย แต่เป็นกฎกระทรวงรองรับเท่านั้น โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาร่วมกันพิจารณา โดยกระทรวงสาธารณสุขนำร่างนี้รับฟังความเห็น 15 วัน ช่วงปลายเดือนธ.ค. มีผู้แสดงความเห็นมาก ส่วนใหญ่เห็นด้วย และครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงนี้แล้ว และตนได้ลงนามเมื่อ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา


ขณะที่เลขา ป.ป.ส. กล่าวว่า การครอบครองเพื่อเสพยาบ้า 5 เม็ดไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมา 21 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น กระบวนการก็จะไปถึงชั้นศาล เท่ากับผู้ที่ครอบครองต้องไปอยู่ในเรือนจำ ถ้ากฎหมายไม่ให้โอกาสเขาก็จะกลับมาเป็นลูกมือของผู้ค้าขายย่อย รายใหญ่ในพื้นที่ เพราะฉะนั้นประมวลกฎหมายยาเสพติด ปี 64 ออกกฎกระทรวงมารองรับ ครอบครองเพื่อเสพ 5 เม็ด สันนิษฐานว่าครอบครองเพื่อเสพ ตนถือว่ากฎหมายนี้ออกมาเพื่อให้โอกาสคน


"เราเชื่อว่าคนที่เขาเป็นคนเสพยาเสพติด ไม่มีใครอยากไปยุ่ง มันมีปัญหาเรื่องครอบครัว มีปัญหาเรื่องความยากจน สลับซับซ้อนกัน เพราะฉะนั้นการให้โอกาสเขา การให้เขามีที่อยู่ในสังคม ไม่ผลักเขาเป็นคนชายขอบเป็นสิ่งที่จำเป็น การที่ผลักคนคนหนึ่งออก ซึ่งเป็นการกระทำผิดเล็กน้อยเข้าไปสู่เรือนจำ มันตัดอนาคต เขามีลูก ไม่มีใครดูแล อันนี้ผมมองในฐานะที่เป็นตำรวจมาค่อนชีวิต ผมเชื่อว่ากฎหมายนี้เป็นไปตามหลักสากล เพราะฉะนั้นการออกกฎกระทรวงมารองรับ ยาบ้าเป็นโจทย์ใหญ่ของบ้านเรา รัฐบาลได้ประกาศโครงการควิกวินแล้ว" เลขา ป.ป.ส. กล่าว


ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติทางชุมชนเข้มแข็งต้านภัยยาเสพติดมาตลอด 4 ปี ปัญหายาเสพติดพื้นฐานมาจากปัญหาครอบครัว ถ้าครอบครัวเข้มแข็งยาเสพติดก็จะน้อยลง การป้องกัน และปราบปรามยาเสพติดเราจับตามแนวชายแดน เส้น 2,400 กิโลเมตร ติดกับเมียนมา แต่ทางด้านประเทศลาว 1,800 กิโลเมตร


ตนคิดว่า ป.ป.ส. ทำงานเชิงรุก พร้อมเห็นด้วยกับกฎกระทรวงที่ออกมาว่าให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเสพหรือไม่ โดยหากมีพยานหลักฐานเพียงพอยืนยันว่ามีการจำหน่าย ก็จะดำเนินคดีในข้อหาจำหน่าย หากไม่มีประวัติก็สมัครเข้ารับการรักษา หากไม่สมัครเข้าจะมีโทษข้อหาหนักเช่นเดิม


จากนั้น นพ.ชลน่าน ได้เปิดคลิปที่อินฟลูเอนเซอร์ให้ข้อมูลกับสังคม พร้อมกล่าวเสริมว่า อินฟลูเอนเซอร์หลายคนให้ข้อมูลผิดพลาด แต่ก็ได้มีการลงคลิปแก้ไขข้อมูลแล้ว ซึ่งด้วยความเคารพ ตนคิดว่ายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติ ดังนั้นต้องช่วยกัน


นพ.ชลน่าน ยังกล่าว่า ข่าวสารเรื่องยาเสพติดเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจมาก อินฟลูเอนเซอร์เอง มีส่วนในการกำหนดทิศทางของสังคม จึงขอฝากเพราะเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ สิ่งที่สื่อสารต้องแม่น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย เพราะคำพูดบางคำไปแปลความผิด เช่น หมอชลน่านออกกฏหมาย คำพูดแค่นี้โดยสามัญสำนึกของคนที่เขารู้ ก็รู้ว่าพูดผิด เพราะกฎหมายต้องออกโดยรัฐสภา แต่เขาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ทุกคนฟัง แล้วทุกคนไม่ได้ฟังด้วยเหตุผล ฟังเพราะเขาชอบ ถึงขนาดจะเข้าชื่อถอดถอนตน


นพ.ชลน่าน กล่าวทิ้งท้ายอย่างมีอารมณ์ว่า มีประเด็นหนึ่งที่วิพากวิจารณ์ในสังคม แล้วพูดในเชิงลบมาก เช่น "ใช้สมองส่วนไหนคิด" "ออกมาได้อย่างไร" แล้วมีการพูดทำนองเสียดสีว่า "รัฐมนตรีไม่โทษหรอก เพราะเขาเพิ่งเข้ามา แต่ไปโทษข้าราชการประจำ"


"คำว่าไม่โทษหรอก หน้าผมชานะครับ ก็คือด่าทางอ้อม คือเป็นนายตำรวจระดับผู้ใหญ่ แม้จะเกษียณอายุไปแล้ว ผมอยากจะให้ท่านดูกฎหมายให้ชัด ก่อนที่ท่านจะพูดอะไร ท่านเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ถ้าท่านสื่อกฎหมายให้ถูกต้อง สื่อแนวทางที่ชัด ท่านจะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ผมกราบขอร้องท่านเถอะครับ ให้ท่านใช้องค์ความรู้ ความสามารถ ให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ผมว่าท่านไม่จำเป็นต้องเป็นดาวหรอกครับ ดาวในเรื่องของสื่อ มีแสงในเรื่องของสื่อมันไม่จีรัง แต่ถ้าท่านทำประโยชน์ในเรื่องของชาติบ้านเมือง เหมือนท่านบอกคนอื่นให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติบ้านเมือง ท่านจะเป็นประโยชน์มาก ผมไม่ขออนุญาตเอ่ยนามท่านนะครับ แต่ขอฝากท่าน ท่านรู้ตัวดี ท่านเป็นนักกฏหมาย เป็นถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เป็นมือปราบ แต่ท่านไปสื่อสารในทางที่ผิด ทำให้สังคมเกิดความสับสนแตกแยก มันเป็นอันตราย" นพ.ชลน่าน กล่าว

คุณอาจสนใจ

Related News