เลือกตั้งและการเมือง

"จุลพันธ์" ยันเดินหน้าแจกเงินดิจิทัล กระตุ้นศก. -"ศิริกัญญา" แนะเร่งสรุปนิยามคำว่า "วิกฤต"

9 ก.พ. 2567

32 views

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ยังไม่ได้รับเอกสารรายงานความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเรื่องโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท อย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้รับทราบในรายละเอียดแล้ว ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ แม้จะเป็นการให้ความเห็น ตามหน้าที่ตามกฎหมาย มาตรา 32 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่กฎหมายกำหนดให้แค่การให้ความเห็นเพื่อป้องกันการทุจริต แต่ความเห็นดังกล่าวเป็นเหมือนการท้วงติงที่เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของป.ป.ช.


แต่อย่างไรก็ตามหากเอกสาร ฉบับทางการมาถึง รัฐบาลก็จะนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งบางประเด็นตอบได้ง่าย อาจเป็นเพราะความไม่เข้าใจ หรือได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนของป.ป.ช. ทั้งแหล่งที่มาของเงิน เปลี่ยนจากงบประมาณเป็นพ.ร.บ.กู้เงิน และการใช้ระบบบล็อคเชน ในการดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถชี้แจงได้ โดยในการประชุมจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริต อนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นในสังคม และรับฟังความเห็นเพิ่มเติม และคณะอนุกรรมการดูแลด้านการเงิน และระบบต่างๆ

ทั้งนี้ นายจุลพันธ์ ยังยืนยันว่า กลุ่มเป้าหมายของโครงการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ยังคงเป็นกลุ่มเดิม ดูเหมือนจะนำเสนอว่าในความเห็นของป.ป.ช. ที่เสนอให้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ต้องขอชี้แจงว่า ปัจจุบันได้เปลี่ยนรัฐบาลแล้ว และกลไกของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาและกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ เป็นเพียงแค่การหยอดน้ำข้าวต้ม แต่จำเป็นต้องมีกลไก ในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ครั้งนี้ออกมา

พร้อมย้ำว่าแนวคิดในการทำนโยบาย เป็นของรัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อประชาชน ในขณะที่บางหน่วยงานไม่จำเป็นต้องตอบรับต่อเสียงสะท้อนของประชาชน หากเศรษฐกิจดำดิ่งยิ่งกว่าในปัจจุบัน คนที่รับผิดชอบคือรัฐบาล จึงต้องแสดงความชัดเจน รัฐบาลมีหน้าที่ในการเดินหน้านโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา และบรรจุเป็นนโยบายแห่งรัฐ โดยเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ทั้งนี้ยังไม่ขอยืนยันว่าจะเริ่มแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตได้เมื่อไหร่ แต่ขอยืนยันว่าเดินหน้าโครงการแน่นอน

ส่วนที่ ป.ป.ช. ขอให้ กกต .ตรวจสอบการดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของรัฐบาล อาจไม่ตรงกับแนวนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 นายจุลพันธ์ เปิดเผยว่า ไม่รู้จะกังวลในเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลที่แล้วแทบจะไม่มีการทำตามนโยบายเลย ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็เคยท้วงติ่งในเรื่องนี้ ในส่วนรัฐบาลปัจจุบันอย่างน้อยก็ได้ทำตามนโยบายที่ได้บอกไว้แม้รูปแบบจะเปลี่ยนบ้าง และในนโยบาย ที่พรรคการเมืองนำส่งกกต. จะมีการระบุไว้ว่าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เศรษฐกิจและสังคม เพราะเมื่อความเหมาะสมเปลี่ยน ซึ่งขณะนี้การดำเนินโครงการดังกล่าวไม่ใช่นโยบายของพรรคการเมือง แต่เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งประกอบขึ้นจากพรรคการเมืองหลายพรรค จะยึดนโยบายของพรรคใดพรรคหนึ่งไม่ได้ จำเป็นต้องนำมาผสมผสานเพื่อให้เกิด ความลงตัวและเดินหน้าได้

ส่วนที่มีนักร้องเตรียมจะยื่นเรื่อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ หากรัฐบาลเดินหน้าโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยนักร้องเยอะอยู่แล้ว เชื่อว่าอย่างไรก็มีคนหยิบยกเรื่องนี้ ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าต่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลก็จะเดินหน้าขอย้ำว่าโครงการดังกล่าวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่การสงเคราะห์




น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึง เดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ให้ความเห็น ว่า ขณะนี้ไม่มีใครไม่เห็นด้วยว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่จะเข้าขั้นวิกฤติหรือไม่ต้องมีการพูดคุย และที่แน่ๆ ยังไม่มีมาตรการต่างๆ มากระตุ้น เพราะรัฐบาลใจจดใจจ่อกับดิจิทัลวอลเล็ตเพียงอย่างเดียว ทำให้โครงการอื่นล่าช้าออกไป ส่งผลต่อการฟื้นคืนเศรษฐกิจ

ส่วนประเทศขณะนี้ "วิกฤต" หรือไม่นั้น นางสาวศิริกัญญา บอกว่า ในคณะกรรมการที่ประกอบด้วยสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , กระทรวงการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย , คณะกรรมการกฤษฎีกา ควรสามารถตกลงนิยามคำว่า "วิกฤต" ได้แล้วว่า สามารถออก พ.ร.บ.กู้เงิน ให้กระทรวงการคลัง ตามเงื่อนไขของคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่

น.ส ศิริกัญญา ยังบอกว่า ได้เตือนมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้นหากเดินลุยไฟออกเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินก็สุ่มเสี่ยง ยืนยัน ไว้ใจพรรคก้าวไกลได้ว่า จะไม่ร้ององค์กรอิสระอย่างแน่นอน เพราะไม่ต้องการให้องค์กรอิสระเข้ามาแทรกแซง แต่ต้องการให้สภาเป็นผู้ตัดสินใจมากกว่า โดยจะอภิปรายเพื่อให้ประชาชนรับทราบ และหากเสียงข้างมากลงมติให้ผ่านความเห็นชอบ ก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นสารตั้งต้น ให้มีคนไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป



คุณอาจสนใจ

Related News