เลือกตั้งและการเมือง

'พิธา' รอด! ศาลรัฐธรรมนูญชี้ 'ไอทีวี' ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ เจ้าตัวเปิดใจพร้อมกลับเข้าสภา ทำหน้าที่สส.

25 ม.ค. 2567

27 views

ประเด็นใหญ่ทางการเมืองเมื่อวานนี้ คือ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คุณพิธา ไม่พ้นสมาชิกภาพ สส. จากกรณีการถือหุ้นไอทีวี เนื่องจากไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ


โดยองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ในการอ่านคำวินิจฉัยคดีที่ กกต. ยื่นคำร้องกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวี ว่าจะทำให้พ้นจากสมาชิกภาพ สส.หรือไม่ โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยไล่ไปทีละประเด็น ซึ่งก็ต้องบอกว่าในประเด็นการวินิจฉัยแรก ๆ ของศาลรัฐธรรมนูญ หลายคนก็อาจจะคิดว่านายพิธาไม่น่าจะรอด

ประเด็นแรก
เรื่องการถือหุ้นไอทีวี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ ก็ชี้ว่า นายพิธา ถือหุ้นไอทีวีอยู่จริงในวันที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ที่นายพิธา มีชื่ออยู่ลำดับที่ 1 ในบัญชีรายชื่อผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล

ประเด็นที่สองเรื่องการครอบงำกิจการของบริษัทไอทีวี  ประเด็นนี้นายพิธา ต่อสู้ว่า การถือหุ้นดังกล่าวไม่ได้มีอำนาจเข้าไปครอบงำกิจการของบริษัทไอทีวี เนื่องจากถือหุ้นเพียง 42,000 หุ้น จาก 1,200 ล้านกว่าหุ้น คิดเป็น 0.00348% เท่านั้น

ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไม่ให้นักการเมืองถือหุ้นสื่อ เพราะไม่ต้องการให้เป็นช่องทางในการใช้สื่อเพื่อแสวงประโยชน์ โดยไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีกี่หุ้น ดังนั้นแม้จะถือหุ้นเพียงหุ้นเดียวก็ถือว่าถือหุ้น และเป็นข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่สาม ในวันสมัคร สส. นายพิธา เป็นเจ้าของหุ้นเองหรือไม่ นายพิธา สู้ว่าเป็นการถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่หุ้นของตัวเอง


แต่จากการพิจารณาเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ศาลรัฐธรรมนูญ ลงความเห็นว่า นายพิธา เป็นเจ้าของหุ้นด้วย โดยแม้นายพิธาจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดก แต่ในอีกด้าน นายพิธา ก็เป็นทายาทที่มีสิทธิในมรดกทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงหุ้นไอทีวีด้วย

แต่คำวินิจฉัยชี้ขาดอยู่ที่ประเด็นที่ 4 ว่า บริษัทไอทีวียังประกอบกิจการสื่ออยู่หรือไม่

กรณีนี้ทาง กกต.อ้างตามวัตถุประสงค์การประกอบกิจการของบริษัทไอทีวี และเห็นว่าบริษัทไอทีวียังประกอบกิจการสื่ออยู่  ขณะที่ นายพิธา ต่อสู้ว่า บริษัทไอทีวีถูกยกเลิกสัญญาในการประกอบการกิจการสื่อตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2550 และยกความเห็นของนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2566 ที่ยืนยันว่าปัจจุบันไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ และ ไม่ได้มีรายได้จากการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อ


ในประเด็นนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า การพิจารณาว่าประกอบกิจการสื่อหรือไม่ ไม่สามารถพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องพิจารณาการดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ควบคู่ไปด้วย

โดยศาลเห็นว่า ไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อตั้งแต่ถูกสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี บอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2550 ไม่ได้มีรายได้จากธุรกิจสื่อ  และบริษัทไอทีวีฯ ยังได้แจ้งไปยังสำนักงานประกันสังคมด้วยว่า ได้หยุดกิจการชั่วคราว ตั้งแต่ 8 มีนาคม 2550 จนถึงปัจจุบัน


นอกจากนี้ศาลฯยังได้ระบุถึงคำพูดของนายคิมห์ ที่ระบุว่า ไม่ยืนยันว่าบริษัทจะประกอบกิจการสื่ออีกหรือไม่ หากชนะคดี ก็จะต้องตัดสินใจอีกที และสุดท้ายแม้ไอทีวีจะชนะคดีที่ยังอยู่ในศาลปกครองสูงสุด ก็ไม่ได้มีผลให้บริษัทไอทีวีฯ ได้รับมอบคลื่นความถี่คืน

ศาลรัฐธรรมนูญจึงสรุปว่า การถือหุ้นของนายพิธา จึงไม่มีลักษณะต้องห้าม และสามารถลงสมัครเลือกตั้งได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพ สส.ของนายพิธา ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ


ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  เปิดใจต่อสื่อครั้งแรก หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินรอดคดีหุ้น iTV  ว่า รู้สึกปกติเหมือนกับทุกวัน เฉย ๆ จะเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ภารกิจแรกคงแถลงแผนงานประจำปีของพรรคก้าวไกล ตามที่ได้รับมอบหมายจากนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และเตรียมลงพื้นที่ต่อไป ส่วนจะกลับเข้าสภาฯ เมื่อใด ให้คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วม (วิป) หารือกับประธานสภาฯ อีกครั้ง ยืนยันว่า เมื่อเข้าสภาฯ จะทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรให้เต็มที่สมกับที่รอ 


ส่วนการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคหลังจากคำวินิจฉัยนี้  นายพิธา กล่าวว่า ไม่น่าเป็นผลเกี่ยวข้อง เพราะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลจะครบวาระ 4 ปี ไม่เกี่ยวข้องกับคดี  ยืนยันไม่มีการเสนอเปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าพรรค


ส่วนกรณีประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวเตือนคู่กรณีก่อนคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยนั้น นายพิธา กล่าวว่า ระมัดระวังมาโดยตลอด  ไม่ว่าจะเป็นข้อเตือนเรื่องเลื่อนเวลาไป 2 ครั้ง ซึ่งฝั่งของตนเองขอยื่นคำชี้แจงเพื่อความละเอียดถี่ถ้วน ส่วนการให้สัมภาษณ์ระมัดระวังมาตลอด ที่ผ่านมาอาจมีข้อมูลไม่ถูกต้อง จึงจำเป็นต้องอธิบายเพื่อความไม่คลาดเคลื่อน


ส่วนผลกระทบบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น นายพิธา กล่าวว่า ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ อยู่ หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น สภาฯ ชุดที่แล้วยังมีการพูดถึงแคนดิเดตนายกฯ ว่ามีใครบ้าง ผมก็ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล   ส่วนจะมีการดำเนินคดีกับ กกต.หรือไม่ นายพิธา บอกว่า “ยังไม่มีครับ”


นายพิธา ยังตอบสื่อต่างชาติเกี่ยวกับระยะเวลากลับเข้าสภาฯ ด้วยว่า โดยเร็วที่สุด ขึ้นอยู่กับการดำเนินการทางเอกสารระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับรัฐสภา แต่หลังจากนี้จะเริ่มทำงานโดยเฉพาะโรดแมปยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกล ส่วนตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้น ขึ้นอยู่กับสมาชิกและกระบวนการในพรรค คาดว่าจะมีการประชุมประจำปีในเดือนเมษายน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใด ก็พร้อมจะขับเคลื่อนประเด็นต่อไปอยู่ดี


นายพิธา กล่าวทิ้งทายว่า คิดถึงทุกคน และจะรีบกลับไปเสริมทัพ ทำงานกับเพื่อน ๆ พรรคก้าวไกลทุกคนอย่างแน่นอน ถ้าเขามีไฟเขียวกลับเข้าสภาฯ เมื่อใด ก็กลับไปตอนนั้น” ก่อนจะบอกกับสื่อว่าขออนุญาตเพียงเท่านี้ เพราะศาลบอกว่าไม่ให้สัมภาษณ์นาน

-------------------------------------------------

“ชัยธวัช” พร้อมยกเก้าอี้หัวหน้าพรรคให้ “พิธา” บอกคนทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ยึดติดตำแหน่ง - พร้อมระบุ ไม่กังวลการตัดสินของศาลฯ คดีใช้นโยบายหาเสียงล้มล้างการปกครอง 31 ม.ค.นี้ 


นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวภายหลังศาล รธน.อ่านคำวินิจฉัย ให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กลับเข้ามาทำหน้าที่ สส.ในสภา ว่า คำวินิจฉัยตีความได้ว่า คำวินิจฉัยของศาลมีผลทันทีเมื่อมีการอ่านคำวินิจฉัย เพียงแต่ในทางปฏิบัติ ต้องประสานงานกับประธานสภาก่อน ว่านายพิธาจะกลับเข้าไปทำหน้าที่ได้วันไหน เพราะยังไม่แน่ใจ จึงจะต้องรอหนังสืออย่างเป็นทางการ ว่าคำวินิจฉัยของศาลส่งไปที่สภาแล้วหรือไม่ แต่กฎหมายบางอันก็จะมีผลทันทีเมื่อมีคำวินิจฉัย  แต่คิดว่ากระบวนการไม่น่าจะนาน


ช่วงท้ายนายชัยธวัชยังกล่าวอีกว่าหากจะต้องคืนตำแหน่งหัวหน้าพรรคและประธานวิปฝ่ายค้านให้นายพิธาก็ไม่ได้มีปัญหาจะอยู่ตรงไหนก็ได้ เพราะไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งอยู่แล้ว  


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/WEIqLwP8JBo


คุณอาจสนใจ

Related News