เลือกตั้งและการเมือง

‘สว.สมชาย’ ยก 4 ข้อ ‘พิธา’ เข้าข่ายหลุด สส. - ‘ปิยบุตร’ ชี้ผลตัดสินคดีทำ 'ก้าวไกล' จะนิยมมากกว่าเดิม

โดย petchpawee_k

24 ม.ค. 2567

244 views

ทีมกฎหมายก้าวไกลมั่นใจ "พิธา" พ้นบ่วง จ่อไปสภาฯอภิปรายทันทีถ้าคำวินิจฉัยเป็นบวก เจ้าตัวย่องประชุม สส. เมื่อช่วงบ่าย ขณะลูกพรรคแห่ให้กำลังใจ

เมื่อวานนี้  (23 ม.ค.67) เวลาประมาณ 13.30 น. ที่พรรคก้าวไกล มีการประชุมพรรคประจำสัปดาห์ทุกวันอังคาร เพื่อเตรียมงานก่อนประชุมสภาฯ ในวันพุธและพฤหัสบดี  ซึ่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ปรากฎตัวเข้าร่วมประชุมพรรคด้วย  โดย สส.พรรคก้าวไกล เข้าให้กำลังใจนายพิธา ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาคดีหุ้นไอทีวี ฯ ในวันนี้ (24 ม.ค.67)

ขณะที่ทางทีมกฎหมายพรรค ก็มั่นใจในข้อมูลการต่อสู้คดี ว่านายพิธา จะรอดบ่วงคดีหุ้นไอทีวีฯ และจะได้กลับมาเป็น สส. เข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ  

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า หากผลวินิจฉัยเป็นไปในทางบวก และทางศาลรัฐธรรมนูญ ส่งหนังสือเเจ้งมายังสภาฯ ทันเวลา ในช่วงบ่าย นายพิธา ก็เตรียมจะเดินทางจากศาลรัฐธรรมนูญ ไปยังอาคารรัฐสภาทันที  เพื่อประชุมสภาฯ ร่วมอภิปรายในญัตติ เรื่องขอให้สภาฯ ตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนหน้าที่การให้บริการไฟฟ้า ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการของกองทัพ ไปอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมถึงการถ่ายโอนธุรกิจต่าง ๆ ของกองทัพ ไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาล ที่ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลเป็นผู้เสนออีกด้วย

 ในวันนี้ (24 ม.ค.67) นายพิธา จะเดินทางไปรับฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง คาดว่า จะเดินทางไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนบ่ายโมง

------------------------------------------------------

"สว.สมชาย" ยกเหตุผล 4 ข้อ ทำไม itv ยังเป็นหุ้นสื่อ ชี้ "พิธา" อาจขาดคุณสมบัติ สส.

ขณะที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา  โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า“ทำไมหุ้น itv ยังเป็นหุ้นสื่อมวลชน และพิธาอาจขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม เห็นพรรคการเมือง และผู้นำทางความคิดของพรรคก้าวไกลออกมาสื่อสารกับสังคมต่อเนื่อง ที่อาจทำให้สังคมไขว้เขว หรือทำให้คำวินิจฉัยศาลรัฐฐธรรมนูญเบี่ยงเบนขาดความน่าเชื่อถือ

ในฐานะที่ผมเคยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในหลายกรณี ต่างกรรมต่างวาระกันมา จึงตัดสินใจเขียนความเห็นประกอบข้อกฎหมาย โดยยึดแนวทางคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แนวทางคำพิพากษาศาลฎีกา โดยจะขอเสนอเป็นความเห็นส่วนตัว ประกอบข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการติดตามข่าวสาร ซึ่งจะไม่สามารถไปชี้นำ หรือส่งผลอย่างหนึ่งอย่างใดต่อคำวิจฉัยคดีที่จะมีขึ้น ดังนี้ครับ

1) บริษัท itv ยังคงเป็นสื่อมวลชน โดย itv มีสถานะความเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีมีวัตถุประสงค์จดแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เกี่ยวกับสื่อรวม 5 ข้อ จนถึงปัจจุบัน itv ยังไม่มีการจดทะเบียนเลิกบริษัทหรือจดยกเลิกวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนทั้ง 5 ข้อดังกล่าว จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม

สอดรับกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 14 ที่วินิจฉัยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในคดีการถือหุ้น บริษัท วีลัคมีเดีย ที่อ้างว่าปิดกิจการแล้ว แต่ไม่จดทะเบียนยกเลิกบริษัท ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่ายังสามารถประกอบกิจการสื่อมวลชนได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ไม่ได้จดเลิกบริษัท

2) บริษัท itv ชนะคดีเบื้องต้นแล้ว 2 ยก รัฐต้องคืนคลื่นความถี่และชดใช้ค่าเสียหาย

3) บริษัท itv ไม่ได้ประกอบกิจการแล้ว แต่ยังมีบริษัทลูกประกอบกิจการสื่อและมีรายรับจากบริษัทอาร์ตแวร์มีเดีย ที่ itv เป็นผู้ถือหุ้น 99% โดยมีผลประกอบกิจการจดทะเบียนทำสื่อโฆษณา รายการ ให้เช่าเครื่องมือ ลิขสิทธิ์ และอื่นๆ ฯลฯ ที่ถือได้ว่าเป็นธุรกิจสื่อมวลชน

4) พิธา ถือหุ้น itv เพียงแค่เล็กน้อย ทำไมจึงผิด

ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวิจฉัยที่ 12-14/2553 ในคดีถือหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานรัฐ ที่วินิจฉัยให้ รมต. สส. สว. พ้นจากสมาชิกภาพ และเคยวินิจฉัยไว้ว่าหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานเป็นลักษณะต้องห้าม แม้ถือหุ้นเพียง 1 หุ้น ก็ขาดคุณสมบัติ

ดังนั้นการที่นายพิธาอ้างว่า ถือหุ้น itv เพียง 42,000 หุ้น จาก 1,206,697,400 หุ้น คิดเป็น 0.0035 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีอํานาจสั่งการบริษัท  ข้อโต้แย้งนี้ของนายพิธาจึงฟังไม่ขึ้น และไม่อาจหักล้างคำนิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางแนวไว้เดิม   พร้อมน้อมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยคดีการถือหุ้นสื่อ itv ไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด

----------------------------------------
“ปิยบุตร” ฟันธง ไอทีวีไม่ใช่สื่อ พิธาครองหุ้นน้อย ครอบงำหรือบงการสื่อไม่ได้  ชี้ผลตัดสินคดีอาจทำให้พิธา-ก้าวไกลได้รับความนิยมมากกว่าเดิม

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าและอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่  โพสต์คลิปบางส่วนจากรายการสนามกฎหมาย ที่นายปิยบุตรจัดผ่านยูทูปช่อง piyabutr classroom โดยกล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดวินิจฉัยพิพากษาในคดีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ในวันนี้ (24 ม.ค.67) เวลา 14.00 น. 


นายปิยบุตร ฟันธงว่า iTV ไม่ใช่สื่อ  ไม่ได้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน  เพราะเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง  คำยืนยันของประธานกรรมการบริษัทไอทีวี  ที่ยืนยันในที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า บริษัทยังไม่มีการทำกิจการสื่อใดเพราะต้องรอผลคดีความสิ้นสุด ซึ่งเป็นคดีระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกับบริษัทไอทีวี ที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณาของศาลปกครอง ถือเป็นการยืนยันได้ว่าตั้งแต่ปี 2550-2566 ไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ  เอกสารงบการเงินย้อนหลังทั้งหมดของไอทีวีไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อเลย มีเพียงรายได้จากผลตอบแทนการลงทุนและดอกเบี้ยเท่านั้น   หนังสือยืนยันของ กสทช. ที่ยืนยันว่าไอทีวีไม่ได้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสื่อ ดังนั้นนายพิธาไม่ได้ถือหุ้นสื่อ และไม่มีลักษณะต้องห้าม


ส่วนประเด็นการครอบงำสื่อนั้น นายปิยบุตร บอกว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) มีเจตนาป้องกันไม่ให้นักการเมืองไปครอบงำสื่อ จนไปสั่งการสื่อขาดความเป็นกลางและอิสระ ไม่ใช่การตีความตรงตัวว่า ถือหุ้นแม้แต่หุ้นเดียวก็ถือว่าผิด  ซึ่งศาลฎีกา เคยมีคำพิพากษาในคดีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ถูก กกต.ตัดสิทธิ์เพราะถือหุ้นบริษัทเอไอเอส 200 หุ้น  ครั้งนั้น ศาลฎีกาสั่งคืนสิทธิ์ให้นายชาญชัย และวางแนวทางไว้ว่า การจะเข้ามาตรา 98(3) จะต้องถือหุ้นมากเพียงพอที่จะเข้าไปชี้นำสั่งการ ครอบงำได้  ซึ่งเมื่อเปรียบกับกรณีของนายพิธา ถือหุ้นเพียง 42,000  หุ้น จาก 1,206,697,400  หุ้น คิดเป็น 0.00348 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจำนวนน้อยมาก จนไม่มีนัยสำคัญในการเข้าไปครอบงำชี้นำสื่อได้ ย่อมไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98(3)


นายปิยบุตร ยังระบุว่า การที่รัฐธรรมนูญกำหนดลักษณะต้องห้ามของนักการเมืองเรื่องการถือหุ้นสื่อ นอกจากจะป้องกันไม่ให้นักการเมืองครอบงำสื่อไม่ได้แล้ว ยังกลายเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง สกัดไม่ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้ามาทำงานการเมือง  นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องบรรทัดฐานในการพิจารณาวินิจฉัยของแต่ละองค์กร  ที่มีบรรทัดฐานไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่า แบบไหนคือการถือหุ้นสื่อ ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ต้องทบทวนว่า ยังต้องมีข้อห้ามนี้อยู่อีกหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนตัวนายปิยบุตรแล้ว มองว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดข้อห้ามนี้ต่อไปอีกแล้ว  อย่าปล่อยให้ข้อห้ามนี้มีอยู่แล้วกลายเป็นเครื่องมือของนิติสงคราม  ทำให้อาชีพ “นักร้อง” เฟื่องฟูมากขึ้น


ก่อนหน้านี้ เมื่อกลางดึกวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา นายปิยบุตร ยังโพสต์ข้อความระบุว่า “มรณสักขีในการเมือง”การให้ธนาธรพ้นจาก ส.ส. , การยุบพรรคอนาคตใหม่ และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 10 ปี  พิสูจน์แล้วว่า ไม่สามารถทำลายความนิยมของธนาธร ไม่สามารถทำลายพลังของกลุ่มก้อนนี้ได้ ตรงกันข้าม พวกเขาได้รับความนิยมมากกว่าเดิม คดีสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 24 และ 31 มกราคมนี้ก็เช่นเดียวกัน


หากผลการตัดสินออกมาไม่เป็นคุณกับพิธา และพรรคก้าวไกล พิธา ชัยธวัช พรรคก้าวไกล ก็จะกลายเป็น “มรณสักขี” เหมือนดังเช่นพรรคอนาคตใหม่ ยิ่งได้รับความนิยม ยิ่งได้การสนับสนุน และเมื่อการเลือกตั้งครั้งถัดไปมาถึง ก็ง่ายมากที่พลังทางการเมืองกลุ่มก้อนนี้ จะได้เกิน 250 เสียง


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/mw1y1_NHKck


คุณอาจสนใจ

Related News