เลือกตั้งและการเมือง
'ชวน' ยันไม่ทิ้ง ปชป. ขออยู่ตอบแทนในช่วงปลายชีวิต - 'เด็จพี่' แขวะ 'มาร์ค' กรรมตามสนอง ต้องลาออก
โดย nattachat_c
11 ธ.ค. 2566
165 views
เมื่อเวลา 12.45 น. วันที่ 10 ธันวาคม ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ภายในพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีสมาชิกพรรคลาออกหลังได้กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ว่า ยังไม่รู้ว่ามีคนลาออกกี่คน ยอมรับว่าเสียดายบุคคลเหล่านั้น ไม่ทราบว่านายสาธิต ปิตุเตชะ จะลาออก ทราบเพียงที่เขาบอกว่าจะไม่มาประชุมเท่านั้น จึงได้ถามว่าเป็นเพราะเหตุใด และได้รับคำตอบกลับมาว่าเขาล็อกไว้หมดแล้ว มาก็ไม่มีประโยชน์ จึงขอร้องให้มาประชุม เขาจึงยอมมา แต่มาแล้วลาออกก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียดายคนที่เป็นกำลังสำคัญ ผู้ที่ไม่เกี่ยวกับ ส.ส.หลายคนก็แจ้งลาออก คนที่เคยสนับสนุนพรรคก็ส่งไลน์มาขอลาออก ตนก็เข้าใจและเห็นใจคนที่ห่วงใย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้มีการล็อบบี้เอาไว้ก่อนใช่หรือไม่ นายชวนกล่าวว่า คงเป็นอย่างนั้น ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นผู้ใหญ่ พูดตรงไปตรงมาในที่ประชุมว่า การเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้แล้วแต่เลขาฯพรรคสั่งมา เพราะเลขาฯดูแลมา 4 ปี ฉะนั้นแล้วแต่ท่านสั่ง หลายคนก็พูดแบบนี้ ไม่เฉพาะผู้ที่ถูกเสนอชื่อจะเป็นนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน แม้จะเป็นคนอื่นหากถ้าเลขาฯเป็นคนสนับสนุน คนนั้นก็ชนะ และเมื่อนายเฉลิมชัยยอมผิดคำพูดมาเป็นหัวหน้าพรรคเอง จึงได้พูดว่าอย่าให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคอะไหล่ ความคิดที่ดิ้นรนอยากเป็นรัฐบาล ไปร่วมกับเขาไม่ควรเกิดขึ้น และที่เป็นห่วงคือ อุดมการณ์ของพรรค ที่ประกาศมา 78 ปี คือเรื่องการเมืองบริสุทธิ์ และความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสิ่งที่ย้ำตลอดมาว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการยอมรับเป็นสถาบันการเมืองไม่ใช่เพราะอยู่มานาน หากอยู่นานแล้วโคตรโกง โกงทั้งโคตร หัวหน้าพรรคติดคุก ก็ไม่มีใครยอมรับเป็นสถาบันการเมือง แต่คนรุ่นก่อน หัวหน้าพรรคทุกคนทำหน้าที่ด้วยความซื่อตรง สุจริต จึงทำให้พรรคได้รับการยอมรับจากประชาชน ดังนั้น ต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ ซึ่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ก็ยืนยันเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตในที่ประชุม จึงขอฝากกรรมการบริหารพรรคที่พะวงเรื่องพวกนี้ให้ช่วยกันดูแล เพราะช่วงที่ผ่านมามีข่าวลือเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปดูแลในรัฐบาลมีอยู่ไม่น้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่สามารถทำงานกับสมาชิกพรรคที่เป็นคนรุ่นเก่าได้หรือไม่ นายชวนกล่าวว่า ที่จริงไม่มีรุ่น กรรมการบริหารคือบุคคลสำคัญที่จะนำพรรคไปสู่ความสำเร็จหรือล้มเหลว ต้องยอมรับว่าเที่ยวที่แล้วการนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรค เราต้องรับผิดชอบด้วยกัน เนื่องจากการที่ได้เป็นเพราะนายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และตน ช่วยสนับสนุนสู้กับคนอื่นที่เป็นคนเก่ง ทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และนายกรณ์ จาติกวณิช ที่เป็นคนเก่ง เมื่อนายจุรินทร์ชนะและเสนอนายเฉลิมชัยเป็นเลขาฯพรรค เราก็เลือก แต่เวลา 4 ปีที่ผ่านมาคนเหล่านี้ได้นำพรรคไปสู่จุดหนึ่ง จนทุกคนเป็นห่วงว่าต่อจากนี้จะตกต่ำมากกว่านี้หรือไม่ ถามว่ามีหรือที่จะต่ำกว่านี้ เพราะครั้งนี้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแค่ 3 คน ในอนาคตจะดีหรือชั่วอย่างไรไม่ควรจะต่ำกว่า 3 คน ผลครั้งนี้ก็มาจากกรรมการบริหารชุดที่แล้ว จึงหวังว่าในอนาคตต้องฝากว่าขอให้ยึดอุดมการณ์พรรคเอาไว้ ถึงแม้จะไว้วางใจได้ไม่เต็มที่ก็ตาม ขอฝากกรรมการบริหารพรรคบางคนที่ยังรักและหวงพรรคอยู่ ให้ช่วยกันดูแล อย่าให้เขาเอาพรรคไปหากิน
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายชวนจะวางบทบาทในพรรคต่อจากนี้อย่างไร นายชวนกล่าวว่า จะพยายามช่วยประคับประคอง สนับสนุนสิ่งดีให้พรรค การที่ตัดสินใจสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพราะคิดว่าสถานการณ์เป็นช่วงเวลาที่จำเป็น ที่จะต้องเป็นคนที่สังคมยอมรับพอสมควร และหัวหน้าพรรคในประเทศไทยที่มีนายอภิสิทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าใคร ถ้าขี้โม้ก็จะบอกว่าเหนือกว่าคนอื่น ย้ำว่าไม่ด้อยกว่าใคร แล้วยังมีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถที่จะนำพาพรรคในช่วงเวลาแบบนี้ให้พัฒนาดีขึ้นกว่าเดิม และเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนได้ เพราะที่คนห่วงใยพรรคประชาธิปัตย์เพราะถือว่ามีอยู่พรรคเดียวที่ยังพึ่งพาได้ในเรื่องความคิด ความมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอยู่ แต่ปรากฏผลออกมาคิดว่าแค่ไม่รับตำแหน่ง ไม่คิดว่าจะลาออก เมื่อเป็นเช่นนี้ขอให้กำลังใจว่าอย่าเพิ่งวางมือ เพราะยังมีเวลาอยู่
เช่นเดียวกับ น.ส.วทันยา บุนนาค ที่เสียดายและชื่นชมในความพยายาม แต่เมื่อเห็นโพยที่ล็อกเอาไว้ว่าอย่าไปรับการลงมติ 3 ใน 4 เพื่อยกเว้นข้อบังคับ (6) ที่เป็นสมาชิกพรรคไม่ครบ 5 ปี ให้สามารถสมัครชิงตำแหน่งได้ถ้าสมาชิก 3 ใน 4 ให้การยอมรับ เมื่อเป็นการสกัดจึงต้องขอร้องสมาชิกในที่ประชุมให้เปิดโอกาสได้มีโอกาสแข่งขัน ที่จริงผลก็ไม่ได้เปลี่ยน แต่ควรเปิดโอกาสให้ได้แข่งขัน ซึ่งได้คะแนนเพิ่ม ขาดไปเพียง 60 กว่าเสียง จึงมีความรู้สึกว่าทำไมไปกลัว หัวหน้าพรรคควรได้มาด้วยการแข่งขัน ไม่ใช่ได้มาตามโพย ตนพยายามเสนอแนะในทางที่ดี แต่เขาไม่เอาแนวทางที่เราเสนอด้วยความปรารถนาดี ซึ่งหัวหน้าพรรคตั้งแต่นายควง อภัยวงศ์ มาด้วยระบบแข่งขัน ตนก็ยังต้องแข่งขันกับนายมารุต บุนนาค ซึ่งสมาชิกจะพิจารณาว่าใครจะนำพรรคไปได้ดี ที่ตนได้เป็นหัวหน้าพรรคเพราะสมาชิกเห็นว่าจะสามารถนำพรรคไปได้ และต่อมาตนได้เชิญนายมารุตมาเป็นหัวหน้าพรรค จนมาเป็นประธานสภา จึงอยากบอกว่าการแข่งขันไม่ได้แตกแยกเสมอไป แต่ยุคที่มีการแข่งขันแล้วคนลาออกไปมากคือยุคของนายจุรินทร์ แม้จะพยายามห้าม ก็ห้ามไม่อยู่ แต่ไม่ว่าคนเหล่านี้จะไปอยู่ที่ไหนก็ตามต้องขอชื่นชมคนที่ทำงาน ยกตัวอย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่สามารถจับการโกงข้าวได้ ดังนั้น คนดีๆ เราอยากเอาไว้ และอยากเห็นคนใหม่ที่จะเข้ามา อยากเห็นมาดามเดียร์อยู่ต่อไป เพราะอายุยังน้อย ยังมีอนาคต
เมื่อถามย้ำว่า กรรมการบริหารที่มาตามโพยจะทำให้อึดอัดในการร่วมงานหรือไม่ นายชวนกล่าวว่า ตลอดมาตนป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้มีสถานะมากไปกว่านี้ มีสิทธิในฐานะสมาชิกคนหนึ่งที่จะให้ความเห็นในทางเป็นประโยชน์ เมื่อเห็นมีการฝืนมติพรรคทั้งที่เวลา 77 ปี ของพรรคไม่เคยมีมาก่อน ที่สมาชิกจะไปฝืนมติพรรคกลางสภา ไปรับรองนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่คนเสนอไม่ให้รับคือตัวเขาเองคือ พล.ต.ต.สุรินทร์ ที่เสนอในที่ประชุมพรรคว่าไม่ควรรับนายเศรษฐา เพราะเราไม่ได้ร่วมรัฐบาล แต่คนเหล่านี้กลับคำตัวเอง กรรมการบริหารชุดต่อไปจึงต้องพิจารณาด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายชวนยืนยันที่จะยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่ นายชวนกล่าวว่า “ผมไม่ไปไหนหรอกครับ ยังไงผมก็ต้องอยู่ เพราะเป็นหนี้บุญคุณพรรค ผมเป็นชาวบ้านคนหนึ่ง สามารถเป็นอะไรก็ได้ เพราะมีโอกาสได้อยู่พรรค ถ้าไม่อยู่ที่พรรคก็ยาก พรรคนี้ให้โอกาส โดยไม่สนใจว่าฐานะ ตระกูลมาอย่างไร ถ้าแสดงตัวว่าคนนี้ดีพอเป็นหัวหน้าพรรคได้ เขาก็เลือก นี่คือสิ่งที่ผ่านมา ดังนั้น บุญคุณอันนี้ใช้ไม่หมด ผมต้องตอบแทนบุญคุณในช่วงปลายชีวิตการเมือง”
--------------
วานนี้ 10 ธ.ค. 66 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และอดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ หลังเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องลาออกจากสมาชิกว่า ไม่อยากให้มองแค่เหตุการณ์ดราม่า ตีบทแตกอีกครั้งของนายอภิสิทธิ์ จำใจลาออกจากพรรคไปแบบน้ำตาจะไหลให้ได้ แต่อยากให้มองเป็นเรื่องของเวรกรรมตามทันชาตินี้ไม่ต้องรอชาติหน้า การขึ้นเป็นนายกฯ ของนายอภิสิทธิ์ เป็นที่มาของเรื่องเล่า รัฐบาลในค่ายทหาร พอเป็นนายกฯ ก็เหตุการณ์สลายการชุมนุมเลือด บอยคอตเลือกตั้ง จนนำไปสู่รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 หลังจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลหลังกลิ่นดินปืนทุกครั้ง
การกระทำตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาสวนทางกับอุดมการณ์ที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ยึดโยงประชาชน ต่อต้านเผด็จการทหาร ดีแต่พูดจนเป็นสมญานาม ความนิยมของประชาชนแสดงผ่านผลการเลือกตั้งเรื่อยมา จากพรรคใหญ่ก็กลายเป็นพรรคกลาง จนถึงพรรคเล็ก ผ่านอะไรมามากมายแต่ก็ยังไม่เคยทบทวนตัวเองกลับโทษแต่คนอื่น คนในพรรคแตกกระจายหายไปเรื่อยๆ ย้ายไปอยู่พรรคอื่นบ้าง ตั้งพรรคใหม่บ้าง จนสุดท้ายวันนี้ ไม่เหลือที่ยืนให้
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ และนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือแกนนำพรรค จะขอกลับมาฟื้นฟูพรรคตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว เพราะไม่มีพลังอะไรที่ทำให้สมาชิกพรรคศรัทธา ผลที่ได้ภาพที่ออกจึงเป็นอย่างที่เห็น
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า ตนอยากแนะให้ให้นายอภิสิทธิ์ ไปถือศีล นั่งสมาธิ ทบทวนสิ่งที่ตัวเองเคยทำจากอดีตถึงปัจจุบัน แล้วค่อยกลับมาใหม่ เช่นเดียวกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ใหม่ ควรทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ มีเหตุผล คิดถึงประชาชนก่อนสิ่งอื่นใด หากเป็นฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่แบบมีวุฒิภาวะ สิ่งไหนรัฐบาลทำถูกประชาชนชื่นชอบไม่ชมก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่ตะบันค้านทุกเรื่อง เพราะเห็นว่าเป็นรัฐบาลเพื่อไทย เรื่องที่เกี่ยวกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ค้านปนแค้นจนหลักลอย จนกลายเป็นอดติทางการเมือง ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน หากทำการเมืองบนหลักคิดอื่นใดที่ไม่ใช่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง แม้เป็นพรรคขนาดใหญ่ก็จะเล็กลงเรื่อยๆ
--------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/Owm_DdegEbc