เลือกตั้งและการเมือง

นายกฯ ขอให้เห็นใจมือใหม่ ขอบคุณทุกความคิดเห็น-คำดูถูก ขอเวลาทำงาน อย่าเพิ่งตอกย้ำ

โดย kanyapak_w

13 ก.ย. 2566

133 views

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวขอบคุณ ทุกความเห็นทุกข้อแนะนำทุกคำติชมทุกคำดูถูก ซึ่งได้รับฟังมาตลอด 2 วัน ของการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่ผ่านมา พร้อมระบุว่าประเทศเราประสบปัญหามายาวนาน และมีสมาชิกเปรียบเทียบยุคของนายกฯคนนั้น ยุคของนายกฯคนนี้กับยุคนายกฯเศรษฐา ที่เพิ่งเริ่ม จึงขอความเห็นใจ มือใหม่ และเข้าใจถึงความเป็นห่วงเป็นใยและความปรารถนาดี และขอให้เข้าใจว่าตนมีความตั้งใจจริง มีความทะเยอทะยาน พร้อมรับฟังทุกคำติชมจากสมาชิกทุกท่าน



นายเศรษฐา ระบุว่าทุกท่านที่อยู่ในที่ประชุมเป็นตัวแทนที่ประชาชนไว้ใจมานั่งในที่ประชุมและความหวังในการทำหน้าที่ ช่วย ขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้นอะไรที่คิดว่าดีต่อการช่วยเหลือประชาชนก็เสนอมา และตลอด 2 วันนี้ ที่ได้รับ หลายอย่างยอมรับว่าเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงแต่งเติมนโยบายในอนาคต หลายอย่างรัฐบาลจะรับไปพิจารณา



นายเศรษฐา ยังชี้แจงเรื่องเกี่ยวกับความคาดหวังของสมาชิก ว่าตลอด 2 วันที่ผ่านมา เป็น การแถลงนโยบายของรัฐบาลเป็นสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจกระทำและความคาดหวังภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ นโยบายทั้งหมดถูกรวบรวมโดยพรรคร่วมรัฐบาล ที่ได้หาเสียงจากประชาชน ทุกพรรคมีความตั้งใจมีความจริงใจ ที่จะร่วมการบริหารประเทศผ่านวิกฤตทางการเมือง แก้ปัญหาเร่งด่วนที่มีอยู่มากมาย เพื่อนำประเทศของเราเดินไปข้างหน้า หลายคนก็ให้ความเห็นอยากให้มีรายละเอียดเพิ่มเติมในการแถลงนโยบาย หรือลงลึกมากขึ้น เพราะตัวเลขหรือตัวชี้วัดอื่นๆระยะเวลาไทม์ไลน์ทั้งหลาย ซึ่งไม่ต้องห่วงมีแน่นอน จะทำรายละเอียดต่างๆให้ครบถ้วนมีที่มางบประมาณ ตัวชี้วัดไทม์ไลน์บรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการ ของแต่ละกระทรวง พร้อมกับผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ดังนั้นเรื่องของงบประมาณรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการบริหารทุกนโยบายอย่างมีความระมัดระวัง ไม่ให้กระทบกับส่วนหนี้สินสาธารณะ ที่ 63% สูงขึ้นไปอีกโดยไม่มีเหตุอันควร



นายเศรษฐากล่าวว่า ตนและคณะรัฐมนตรีทุกคนเพิ่งเข้ามารับหน้าที่ใหม่ บางท่านคุ้นเคยหน้าตากันที่พึงจะสั่งการบริหารกระทรวงได้ หลังแถลงนโยบายไปเมื่อวานนี้ แต่ต้องขอเวลาเดี๋ยวจะมีแผนมาให้ดู และขอให้ 4 ปีจากนี้ไปเป็น 4 ปีที่พวกเราทำงานหนักที่ทุกท่านทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ คุ้มเงินภาษีและความไว้วางใจของพี่น้องประชาชนที่ได้มอบให้ เป้าหมาย ความสำเร็จของนโยบายที่แถลงไปของรัฐบาลนี้จะถูกพิสูจน์ได้ด้วยการเจริญเติบโตของประเทศความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน ทางด้านเศรษฐกิจความเหลื่อมล้ำความมั่นคงการศึกษาสิทธิเสรีภาพการบังคับใช้กฎหมายและอีกหลายประการ



นายเศรษฐา ยังเชิญชวนทุกคนใน รัฐสภาร่วมกับประชาชนทุกคนติดตามการทำงานของรัฐบาลเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนที่ได้มอบความไว้วางใจให้กับพวกเรา



โดยเวลา 23.54 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสรุปคำแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า รัฐบาลในอดีตมีการแยกหมวดหมู่ของคำแถลงนโยบาย แต่รัฐบาลนายเศรษฐามีเพียง 14 หน้าและไม่มีการแยกหมวดหมู่นโยบายเหมือนรัฐบาลก่อนๆ การสื่อสารนโยบายก็มีการกลับไปกลับมา อย่างเช่นโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่นายกฯ และรมว.คลัง และรมช.คลังที่พูดสวนกันไปมา ไม่ตรงกัน แบบนี้ข้าราชการจะทำงานได้อย่างไร ส่วนเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ รมว.คมนาคมบอกว่าไม่เร่งด่วนเลยไม่ได้ลงรายละเอียด พออีกวันออกมาขอโทษบอกว่าผิดพลาดแล้วบอกว่าจะทำให้เสร็จภายในสองปี แต่พอไปถามนายกฯ ท่านบอกให้รอนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.ก็ฝากถามนายกฯ มาว่าหนี้ค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ที่รัฐบาลเดิมบีบให้กทม.รับโอนมาจากรฟม.นั้น รมว.คมนาคมจะตัดสินใจอย่างไร นโยบายที่ไม่ชัด สื่อสารไม่ตรงกัน ชักเข้าชักออกแบบนี้ ถ้าไม่แก้ไขจะเกิดปัญหาในการขับเคลื่อนนโยบาย



นายวิโรจน์ กล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดในคำแถลงนโยบายฉบับนี้ คือการที่ประชาชนไม่เห็นความทะเยอทะยาน และกล้าที่จะรับปากให้คำมั่นกับประชาชนอย่างที่ควรจะเป็นเลย ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลประชาธิปไตยที่คนไทยภาคภูมิใจก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง อย่างรัฐบาลทักษิณ1 ที่กล้าลงตัวเลขชัดๆ เช่น การพักหนี้เกษตรกรรายย่อยเป็นเวลาสามปี ตั้งกองทุนหมู่บ้านแห่งละหนึ่งล้านบาท สร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยเสียค่าใช้จ่าย 30 บาทต่อครั้ง หรือรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่กล้าเขียนตรงๆ ว่าแรงงานมีรายได้ไม่น้อยกว่า 300 บาทซึ่งทำได้จริง คนจบปริญญาตรีมีรายได้ไม่น้อยกว่า 15,000 บาท แต่ยุคนายกฯ เศรษฐาค่าแรง 600 บาทภายในปี 2570 ทำไมต้องเขียนคลุมเครือว่าค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรม เอาในปี 2567 ค่าแรงขั้นต่ำจะเป็น 400 บาทหรือไม่ แล้วถ้าเศรษฐกิจโตไม่ถึง 5% ค่าแรงจะขึ้นหรือไม่



นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ส่วนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุก็ยังไม่ชัดเจน ฟังมาสองวันก็ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้จะเอาอย่างไร เขียนแต่เพียงว่าจะดูแลให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ตนฟังคำนี้บ่อยครั้งมาก ฟังจนหลอน สุดท้ายแล้วผู้สูงอายุ 11 ล้านคนต้องพิสูจน์ความจนหรือไม่ จะได้เงินทุกคนหรือเปล่า ส่วนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 2.3 ล้านคนก็ขอให้รีบจ่ายให้ทันภายในวันที่ 18 ก.ย. ขอให้นายกฯ ตอบให้ชัดเรื่องนโยบายสวัสดิการ จะสร้างเงื่อนไขเพื่อตัดสวัสดิการของประชาชนอีกหรือไม่ ส่วนนโยบายเพิ่มรายได้เกษตรกรก็เขียนแบบคลุมเครือว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ดีใจที่ท่านพูดว่าจะเพิ่มขึ้นสามเท่าในสี่ปี แต่ปีหน้าจะเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน ส่วนเรื่องนโยบายพลังงานที่ท่านบอกจะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมทันที เข้าใจว่าในมติ ครม.จะมีการปรับลดค่าไฟฟ้าลง แต่การแก้ปัญหาระยะยาว ทั้งวิธีการชะลอคืนหนี้ให้กฟผ.หรือการนำเงินภาษีของประชาชน 1.5 หมื่นล้านไปอุดหนุนค่าไฟฟ้า ตนยืนยันว่าทำแบบนั้นก็เป็นเพียงแค่การล้วงกระเป๋า เอาเงินภาษีประชาชนอีกฟากฝั่งหนึ่ง ไปประเคนจ่ายนายทุนโรงไฟฟ้าแทนเท่านั้น ไม่ใช่การบริหารจัดการค่าไฟแพงที่ต้นตอ



นายวิโรจน์ กล่าวว่า คำแถลงนโยบายนี้น่าเสียใจและผิดหวัง ไม่มีถ้อยแถลงใดๆ ที่สร้างความมั่นคงด้านพลังงานที่ประชาชนพึ่งพาตนเองได้เลย ส่วนนโยบายการแก้ไขปัญหาทุนผูกขาดของกลุ่มเครือข่ายอุปถัมภ์ของนายกฯ เศรษฐาหายไปไหน ที่นายกฯ ไปกินดินเนอร์หรูกับเจ้าสัว ที่บอกว่าไปขอคำแนะนำ ตนพอจะคาดเดาได้ว่าไปได้คำแนะนำอะไรมาหลังจากได้คำตอบจากท่านนายกฯ ที่ชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่บอกว่าไม่กีดกันทุนใหญ่ นายกฯ คิดตามทุนใหญ่ไม่ทัน หรือว่ารู้ ไปสมคบคิดกันหรือเปล่า ซึ่งตนไม่คิดว่าท่านจะคิดแบบนั้น นโยบายแบบนี้นายทุนผูกขาดค้าปลีกค้าส่ง ก็แค่ไปตั้งจุดจำหน่ายสินค้าในชุมชน นี่คือพายุหมุนทางเศรษฐกิจที่จะทำลายล้างร้านโชห่วย และร้านขายของชำของคนตัวเล็กตัวน้อยทั้งประเทศ ตนเชื่อว่าเม็ดเงินระดับหลายหมื่นล้านถึงแสนล้านจะถูกสูบจากท้องถิ่นเข้าไปที่กระเป๋าตังค์ส่วนกลางของนายทุนขนาดใหญ่เหล่านี้ทั้งสิ้น ถ้าจะสร้างพายุหมุนแบบนี้ นายกฯ เตรียมอนุมัติงบกลางไว้จ่ายเยียวยาภัยพิบัติร้านขายของชำและโชห่วยไว้ได้เลย



นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการกระจายอำนาจ อปท.ต้องการกระจายอำนาจที่มาพร้อมกับการกระจายงบประมาณ คำถามง่ายๆ คือเงินที่ค้างจ่าย อปท.จากมาตรการลดภาษีที่ดินร้อยละ 90 ในปี 63 และ 64 รวมกันกว่า 8 หมื่นล้านบาท เฉพาะกทม.เกือบ 3 หมื่นล้านบาท มันคือโอกาสของการกระจายการพัฒนาไปสู่ท้องถิ่นซึ่งถูกส่วนกลางดูดมากกว่าสองปีแล้ว อปท.ถามว่าจะคืนเงินเขาเมื่อไหร่ ก่อนที่จะพูดถึงผู้ว่าฯ ซีอีโอ อย่าเบี้ยวเงินเขา ส่วนปัญหาผู้มีอิทธิพลกับการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาที่ผนวกเข้าด้วยกัน ผู้มีอิทธิพลได้ผันตัวเองมาเป็นสปอนเซอร์ จ่ายเงินซื้อขายตำแหน่งจ่ายส่วยให้กับข้าราชการระดับสูงอย่างกรณีที่เกิดขึ้นใน จ.นครปฐม ซึ่งน่าผิดหวังว่าในคำแถลงนี้ไม่มีความชัดเจนในการจัดการปัญหาเหล่านี้เลย



“ส่วนที่รองนายกฯ ภูมิธรรมบอกให้พวกผมอยู่กับความเป็นจริง เลยขอเตือนรัฐบาลนี้ว่าอย่าหลงลืมกระสุนจริงที่ใช้ในปี 53 กว่า 1 แสนนัด และมีคนตาย 99 ศพ ผมจึงบอกว่าต้องเร่งปฏิรูปและพัฒนาร่วมกัน ผมจึงบอกว่าต้องเร่งปฏิรูปกองทัพ จากรัฐบาลที่บอกว่าคิดใหญ่ทำเป็น แต่ทำไมกลายเป็นรัฐบาลที่คิดน้อย ไม่กล้าทำ เหมือนต้องรอขออนุญาตจากผู้มีอำนาจตัวจริง เหมือนถูกพรรคร่วมรัฐบาลกำลังบีบคอขอร่วมพัฒนาอยู่ อยากบอกนายกฯ ว่าคำแถลงนโยบายแม้จะเป็นการบรรยายแบบมุมกว้าง เต็มไปด้วยถ้อยคำคลุมเครือก็ตาม แต่เป็นสัญญาณที่บอกประชาชนให้รู้ตัวว่า นับจากนี้ชีวิตต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ฝากผีฝากไข้พึ่งพารัฐบาลได้ยากลำบาก” นายวิโรจน์ กล่าว



นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนเห็นใจท่านนายกฯ แต่ยืนยันว่าท่านต้องบอกตัวเองว่าท่านไม่ใช่ลูกน้องของกลุ่มคนเหล่านั้น แต่เป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน และท่านต้องเกรงใจประชาชน ไม่ใช่เกรงใจคนเหล่านั้น นายกฯ ต้องมีความทะเยอทะยานอย่างที่นายเศรษฐา ทวีสินมีอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว และกล้าที่จะตัดสินใจในฐานะหัวหน้ารัฐบาล นายกฯ มีความทะเยอทะยาน กล้าที่จะรับปากให้คำมั่นกับประชาชน ประชาชนก็จะมีความมั่นคงในความดำเนินชีวิต กล้าที่จะฝากชีวิตไว้กับรัฐบาล



และในการพิจารณางบประมาณในวาระที่หนึ่งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ หวังว่านายเศรษฐาจะมีความทะเยอทะยานมากกว่านี้ และมีความมั่นใจในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมากกว่าวันนี้



คุณอาจสนใจ

Related News