เลือกตั้งและการเมือง
'ชลน่าน' โต้ 'ชัยธวัช' ปมรัฐบาลสลายขั้ว ลั่นเพื่อไทยคิดผิด ร่วมจับมือก้าวไกล
23 ส.ค. 2566
20 views
เมื่อวานนี้ (22 ส.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมรัฐสภา วาระการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย
ช่วงหนึ่ง นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นกล่าวอภิปราย ว่า ผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกล ไม่สามารถที่จะเห็นชอบนายเศรษฐาได้ เหตุผลไม่ใช่เป็นเพราะเราไม่รู้จักหรือไม่มีข้อมูลของสมาชิกบางท่านได้อภิปรายซักถาม
ตนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องประชาชนได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนแล้วตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง และตนก็หวังว่าสมาชิกรัฐสภาของพวกเราทุกคน ก็ควรจะให้ความสำคัญตามข่าวสารบ้านเมืองในการเลือกตั้ง และคิดว่าน่าจะได้ใช้สิทธิ์นั้นใช้วิจารณญาณไปแล้วในวันเลือกตั้งพร้อมกับประชาชนทุกคน
เหตุผลที่ผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลไม่สามารถที่จะเห็นชอบได้ในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติของอย่างที่มีการกล่าวหากัน
เหตุผลที่ผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลไม่สามารถโหวตเห็นชอบได้เป็นเหตุผลง่ายๆ เพราะเราเห็นว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นอยู่ขณะนี้ เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ขัดต่อเจตจำนงของพี่น้องประชาชน ที่ได้แสดงออกไปแล้วในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการยุติรัฐบาลและระบบการเมืองที่สืบทอดอำนาจมาจากรัฐประหารของคสช
“พวกเราพรรคก้าวไกลยังเห็นด้วยว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่การพยายามที่จะสลายขั้วความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อ แต่คือการต่อลมหายใจให้กับระบบการเมืองที่ระบบคสช. วางไว้และดำเนินการสืบไป” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า หลายคนบอกว่าการจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ เป็นความจำเป็นทางการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้พรรคการเมืองและนักการเมืองจำเป็นจะต้องกลืนเลือด จำเป็นต้องจ่ายต้นทุนทางการเมืองมหาศาลโดยมีวาระประชาชน วาระของประเทศเป็นตัวตั้ง ตนอยากจะชวนท่านประธานคิดใหม่ ว่าแล้วอะไรคือราคาอะไรคือต้นทุนที่ประชาชนและสังคมไทยจะต้องจ่ายบ้างให้แก่การจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ประการแรกตนเห็นว่าราคาที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องจ่ายคือความหวัง การเลือกตั้งที่ผ่านมาเคยเป็นวันแห่งความหวังของประชาชน พวกเขาหวังว่าเสียงของพวกเขาจะทำให้การเมืองไทยออกจากระบบที่เป็นที่เป็นมรดกของคณะรัฐประหารได้ในที่สุดโดยสันติ พวกเขาหวังว่าเสียงของพวกเขาจะทำให้การเมืองของไทยเดินหน้าไปสู่อนาคต ไม่ใช่เดินวนกลับไปสู่อดีตอย่างที่พวกเขารับรู้กันอยู่ในขณะนี้
ประการที่สองตนเห็นว่าราคาที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องจ่ายให้กับการจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษในขณะนี้ พี่น้องประชาชนเคยเชื่อจริงๆว่า ประชาธิปไตยอำนาจสูงสุดนั้นคืออำนาจของประชาชน แต่เมื่อพวกเขาไปใช้อำนาจเลือกตั้ง ปรากฏว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะกลับกลายเป็นการจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษ ที่อนุญาตให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการเลือกตั้งได้พอเป็นพิธี แต่จะไม่มีวันยอมให้อำนาจเป็นของประชาชนจริงๆ นั่นคือราคาที่พี่น้องประชาชนต้องจ่าย ตอนนี้กลายเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนไม่ใช่ เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง
ประการที่สามราคาที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องจ่ายคือความศรัทธา การจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษกำลังกำลังทำให้พวกเราสูญเสียต้นทุนทางสังคม ที่สำคัญคือความศรัทธาของประชาชน ความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนเป็นพื้นฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย และเมื่อไหร่ที่ประชาชนหมดศรัทธาต่อระบบการเมืองหรือสถาบันทางการเมืองใดๆแล้ว ย่อมเป็นอันตราย
“ผมอยากจะฝากความหวังดีผ่านไปยังท่านสมาชิกรัฐสภาทุกท่าน ว่าหัวใจหัวใจของปัญหาความขัดแย้งในทางการเมืองในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาคือการคือการปะทะขัดแย้งกันระหว่างอำนาจของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง กับอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช ย้ำว่า จนถึงวันนี้เรายังเรายังหาทางออกจากการเมืองนี้ไม่ได้ เราเห็นว่าทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อนี้ ไม่ใช่ไม่ใช่การสลายขั้วความขัดแย้งอย่างผิวเผิน โดยการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้ว แต่ทางออกที่พวกเราต้องช่วยกันแสวงหาคือระบบการเมืองที่จะกลายเป็นฉันทามติใหม่ โดยวางอยู่บนหลักการพื้นฐานสำคัญที่ว่าอำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน
“แล้วเมื่อไหร่ที่เรายังสยบยอม หรือต่อลมหายใจให้กับระบบที่เราเรียกกันว่าประชาธิปไตยแต่ตอบไม่ได้ว่าประชาชนอยู่ไหน เราจะไม่มีวันสลายความขัดแย้งได้ ประชาชนจะสูญสิ้นความศรัทธาในที่สุด และส่งผลถึงความขัดแย้งรุนแรงในอนาคต” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนทราบดีว่าพี่น้องประชาชนกำลังผิดหวังกำลังโกรธ หรือกำลังคับข้องใจกับการเมืองที่เกิดขึ้น แต่ตนอยากจะเรียนพี่น้องประชาชนผ่านประธานรัฐสภา ว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา สะท้อนแล้วว่าสังคมสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
แต่มันยังเปลี่ยนไม่มากพอ ดังนั้น แม้ว่าท่านจะไม่พอใจ ท่านจะผิดหวัง ท่านจะคับข้องใจ แต่ขออย่าให้แต่อย่าหันหลังให้การเมือง เราต้องช่วยกัน คนละไม้คนละมือ เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้ได้ ทำให้การเมืองระบบประชาธิปไตยของเราเป็นประชาธิปไตยจริงๆทำให้อำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของประชาชนจริงๆ
-------------
เมื่อวานนี้ (22 ส.ค.) ภายหลังสมาชิกอภิปราย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวขอบคุณสมาชิกที่ให้ความสนใจในเรื่องมาตรฐานจริยธรรมคุณธรรม ของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ที่ทุกคนเห็นว่าน่าจะเกี่ยวข้องไปถึงพฤติการณ์และพฤติกรรมในการประกอบอาชีพในภาคเอกชน ในบริษัทมหาชน ที่สังคมเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กัน อย่างกว้างขวาง
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ละเลย หรือนิ่งนอนใจ ทั้งก่อนหน้าและหลังการมีการพูดถึงเรื่องนี้ในสังคม โดยได้ตรวจสอบข้อกฎหมายทุกอย่าง ไปถึงจริยธรรมความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ยืนยัน ไม่มี เรื่องใดที่เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และไม่มีข้อเท็จจริงที่ผิดกฎหมาย มีแต่ข้อกล่าวหาที่โน้มเอียงนำหลักฐานในการประกอบธุรกิจมาเป็นการกล่าวอ้างในลักษณะเชื่อมโยงกัน ซึ่งเมื่อยังไม่มีหลักฐานว่ามีการทำผิดกฎหมาย ดังนั้น ยังถือว่านายเศรษฐาเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ และซื่อสัตย์สุจริต
ส่วนกรณี สส.แสดงความเห็นที่ไม่สามารถเห็นชอบนายเศรษฐา เรื่องจุดยืนทางการเมือง เป็นพฤติการณ์ในการจัดตั้งรัฐบาล นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเคารพเสียงประชาชนทุกเสียง ในอุดมการณ์ทางการเมืองหลายคนมีการแบ่งฝ่าย เป็นเสรีประชาธิปไตย กับอนุรักษ์นิยม แต่ไม่ว่า จะเป็นฝ่ายใดล้วนอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะฉะนั้นสิ่งที่พรรคยึดถือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำคัญที่สุด คือ ระบบรัฐสภา ซึ่งสส.ที่ถูกเลือกเข้ามา 499 คนมาจากการเลือกของประชาชน ซึ่งเป็นการให้สิทธิ์เข้ามาในระบบตัวแทน ถือเป็นประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นเผด็จการ แต่ยอมรับว่า ที่ผ่านมาความเห็นของประชาชนมีความแตกต่างทางความคิด ซึ่งสองแนวคิด ระหว่าง เสรีประชาธิปไตย กับอนุรักษ์นิยม มีความแตกต่าง มีความขัดแย้งทางการเมืองมาโดยตลอด
“คนที่เจ็บปวดที่สุด คือพี่น้องประชาชนคนไทย ถามว่า เราขัดแย้งกัน เราสู้กัน เราได้อะไรขึ้นมา นี้คือ จุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย เราเห็นความย่อยยับ ความสูญเสีย เห็นโอกาสของพี่น้องประชาชนที่เสียหายไป เพราะเพียงมีความคิดที่ต่างกันและมีจุดมุ่งหมายเดียวกันแต่แยกกันเดินบนพื้นฐานความไม่เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถ้ามีความคิดแบบนี้ ฝ่ายที่ต้องการปกป้องสถาบันหลักของชาติ ก็ต้องแสดงออกเต็มที่ ถ้ามีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อสถาบันหลักของชาติก็ย่อมมีการต่อสู้ มีการทำลายล้าง ซึ่งคือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วเราจะปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นต่อไปหรือ”
นายแพทย์ชลน่าน ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และยินดีจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล
“ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคเพื่อไทยไม่มีทางจับมือกับพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล เรารอ เราสามารถแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ ถ้ากลไกลการเมือง และรัฐธรรมนูญเป็นปกติ แต่ด้วยสภาพบังคับรัฐธรรมนูญเป็นแบบนี้เราไม่จับมือไม่ได้ แต่เราก็คิดผิด ยิ่งเราจับมือกัน ยิ่งจับมือจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ไทยรักไทย พลังประชาชน เราหัวชนฝามา เราเจ็บ เราเกิดก่อน เรามีประสบการณ์ แล้วเราจะหัวไปชนฝา แล้วพี่น้องประชาชนเสียหายไป เราไม่ทำ สิ่งที่ดีที่สุด เราหันหน้ามาดุลอำนาจที่มีในประเทศนี้ ดีที่สุดจับมาดุลอำนาจ ประนีประนอมอำนาจและให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด ผมคิดว่า เป็นแนวคิดที่ดีที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ เพื่อไทยจึงอาศัยเข้ามาสลายความขัดแย้งตรงนี้ จัดตั้งรัฐบาลทุกฝ่ายที่รวมกันได้”
ส่วนข้อห่วงใยเรื่องนโยบาย โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะนี้เป็นเพียงการรณรงค์หาเสียงการเลือกตั้ง แต่ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพราะถูกนำไปใช้ แต่เป็นข้อดีที่สะท้อนมา เป็นจุดเริ่มต้นเขียนนโยบาย ตามข้อห่วงใย ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นวิกฤตที่ทำให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ซึ่งต้องดำเนินการทำประชามติตามขั้นตอน “เราตั้งใจให้มี ส.ส.ร.มาอย่างไร จำนวนเท่าไหร่ให้มีความมั่นใจทุกฝ่ายทำงานร่วมกันได้ บนพื้นฐานรัฐบาลแห่งความปรองดอง เห็นคนในชาติมีคุณค่าเท่ากัน ไม่แบ่งฝ่าย หันหน้าเข้าหากัน”
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า เชื่อว่าทุกคนมีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติบ้านเมือง ความเห็นต่าง เป็นสีสันที่สวยงามของประชาธิปไตย โดยเฉพาะในระบบเสียงข้างมาก แต่เราจะแปลงความเห็นต่างมาเป็นความเห็นร่วมได้อย่างไร ถ้าทุกคนได้มอบความไว้วางใจให้กับนายเศรษฐา ผู้ถูกเสนอชื่อ เป็นบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการนำความเห็นต่างมาเป็นความเห็นร่วมของการหันหน้าเข้าหากัน
ในนามของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 11 พรรค หวังว่าจะได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนที่หวัง ไม่เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะในมิติที่สังคมไทยมีความแตกต่าง เราต้องรับฟังความแตกต่างและนำมาบริหารจัดการให้เป็นโอกาสและความหวังที่ดีของประชาชนให้มากที่สุด
-----------
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/ziYukieCO28