เลือกตั้งและการเมือง
'ชูวิทย์' แจงภาพคู่ ‘เศรษฐา’ ปมเจรจาซื้อที่ดิน โชว์แชทคุยกันปีก่อน ไม่หวั่นโดนโจมตีลั่น "ผมของแข็ง"
โดย petchpawee_k
8 ส.ค. 2566
398 views
“ชูวิทย์” ยื่น ป.ป.ช. เอาผิดเจ้าพนักงานที่ดินเขตพระนคร เอื้อประโยชน์ บมจ.แสนสิริ ลั่น ไม่ใช่วางแผนภาษี แต่เป็นการวางแผนโกงภาษี โต้ “พร้อมพงศ์” แฉแชะภาพคู่ “เศรฐา” บอกเป็นการเจราจาซื้อขายที่ดิน ยัน “เศรษฐา” ส่งคนมาเชิญคุยขอซื้อที่ดิน แต่ยังติดสัญญาอยู่กับบริษัทอื่น จึงขายไม่ได้
จากกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ งัดเอกสารแฉนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ซึ่งระบุว่าเป็นการ “แฉเพื่อชาติ” ซึ่งเป็นกทรแฉเกี่ยวกับพฤติการณ์ของนายเศรษฐา สมัยที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมเลี่ยงภาษีที่ดิน ทำรัฐเสียหายกว่า 521 ล้านบาท
วานนี้ (7 ส.ค.66) นายชูวิทย์ เดินทางมาที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นหนังสือให้ตรวจสอบการกระทำของเจ้าพนักงานที่ดินเขตพระนคร ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 โดยการสนับสนุนจาก บมจ.แสนสิริ และผู้ขายที่ดิน
โดยมีนายศรชัย ชูวิเชียร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งระหว่างยื่นหนังสือนายชูวิทย์ได้กล่าวว่า “ขอฝากบ้านเมืองไว้กับท่าน ผมคงไม่ได้อยู่ดู”
จากนั้น นายชูวิทย์ ได้อธิบายว่า เจตนา และการหลีกเลี่ยงภาษี พร้อมชี้ให้เห็นว่า เรื่องนี้ มีอยู่สองเรื่อง คือขาเข้า กับขาออก ขาเข้า คือโฉนดหนึ่งแปลง เดิมอยู่ในนามบริษัทประไพทรัพย์จำกัด ตั้งแต่ปี 2527 ให้เช่าที่ดินอยู่ที่สารสิน ต่อมาเมื่อตั้งใจจะขาย เลิกบริษัท / ทรัพย์สินก็คือที่ดิน ก็ทำคืนให้กับผู้ถือหุ้น 12 คน ซึ่งบริษัทเลิกเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561
แต่ผู้ขายกลับเอาไป แจ้งต่อที่ดินคนละวัน 12 วัน 12 คน ทั้งที่มีแม่คนเดียวกัน คือ บริษัท ประไพทรัพย์จำกัด เพื่อให้เห็นว่า “ขาเข้า”มาไม่พร้อมกันเพราะฉะนั้น ตรงนี้จะเห็นถึงอุบายหรือความฉ้อฉล แม้ตรงนี้หลายคนจะบอกว่าเป็นการวางแผนภาษี แต่ตนขอยืนยันว่า เป็นการวางแผนการโกงภาษี
พอถึงขาออก มีการขายไปปี 2562 ให้กับผู้ซื้อรายเดียวคือ บริษัทแสนสิริ ก็ใช้ว้ธี โอนคนละวัน 12 วัน 12 คน เพื่อเลี่ยงการเป็นคณะบุคคล ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ 521 ล้านบาท ซึ่งการกระทำนี้ เป็นกระบวนการทำร่วมมือกันระหว่างผู้ซื้อ กับผู้ขาย เพราะกระทำการคนเดียวไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นศรีธนญชัย ที่พยามใช้ช่องทางกฎหมาย ยืนยันว่างานนี้เป็นงานที่ใส่สูทปล้น
พร้อมถามย้ำว่า หากเป็นผู้ซื้อ ใครจะกล้าซื้อที่ดินแปลงเดียวกัน 12 วัน 12 คน หนำซ้ำผู้ซื้อยังเป็นคนที่มีความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์ ถ้าไม่ใช่อุบายแล้วจะเรียกว่าอะไร
จากนั้น นายชูวิทย์ ได้นำเอกสาร ของกรมที่ดิน ที่ลงนามโดยนายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อธิบดีกรมที่ดินในขณะนั้น ลงวันที่ 21 กันยายน 52 เรื่องการประเมินราคาทุนทรัพย์ที่ดินและการเรียกเก็บภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
โดยมีใจความสำคัญว่า กรณีมีการโอนที่ดินด้วยวิธีการให้ผู้ขอรายเดียวกันเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมเพียงบางส่วน ส่วนที่เหลือค่อยโอนวันหลัง เป็นการกระจายทางภาษีให้แคบลง เพื่อจะได้เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่ต่ำกว่าโอนขายทีเดียวทั้งแปลง เช่นเว้นระยะห่าง 3 วัน 5 วันหรือ 10 วันเป็นต้น โดยเอกสารฉบับนี่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเรื่องให้กรมที่ดิน เพื่อแจ้งกรมสรรพากรพิจารณาอำนาจหน้าที่ต่อไป
นายชูวิทย์ชี้ตามเอกสารว่า ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการกระจายฐานภาษีนั่นเอง มันเป็นเรื่องเจตนาแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจะหลีกเลี่ยงภาษี เป็นกระบวนการออกอุบายตั้งแต่ขาเข้า ไปยังขาออก
จากนั้นได้เปิดหนังสือฉบับที่ 2 ลงวันที่ 2 เมษายน56 โดยนายบุญเชิด คิดเห็น อธิบดีกรมที่ดิน ณ ขณะนั้น มีใจความสำคัญว่า จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันหลายคน ด้วยการซื้อมาร่วมกันในวันเดียวกัน ขายอสังหาริมทรัพย์ให้ผู้ซื้อรายเดียวกัน วันเดียวกัน แต่มีชื่อกรรมสิทธิ์ร่วมค้าเฉพาะส่วน ทำสัญญาเฉพาะส่วน แยกคนละฉบับ
ซึ่งกรมสรรพากร ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ทราบคือ กรณีบุคคลธรรมดาได้ร่วมกันซื้อที่ดินในวันเดียวกัน เค้าถือกรรมสิทธิ์พร้อมกัน ไม่ได้แบ่งแยกที่ดินบรรยายส่วนกันไว้ชัดเจน ขายที่ดินให้กับผู้ซื้อรายเดียว แม้จะทำสัญญาซื้อขายกันคนละฉบับ แต่เมื่อการถือกรรมสิทธิ์ร่วมเกิดขึ้น นิติกรรมซื้อขายได้เข้าถือกรรมสิทธิ์พร้อมกัน ผู้ขายทั้งหมดต้องเสียภาษี ฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล
ซึ่งก็คือ 500 ร้อยล้าน แต่คุณไม่จ่ายแม้แต่บาทเดียว กูซื้อกูขาย ร่วมมือกัน จะเอามาอ้างว่าผู้ขายทำคนเดียวไม่ได้
พร้อมกันนี้ ยังเปิดพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 153 / 2563 ซึ่งเป็นคดีที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกรณีนี้ มาเปิดเผยให้สื่อมวลชนเห็นคำพิพากษา ซึ่งสิ้นสุดที่ศาลอุทธรณ์ เนื่องจากไม่มีฎีกา โดยในคดีดังกล่าว ระบุว่า
การที่นาย ก.โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทั้ง 8 แปลง ในวันทำการ ของราชการ 4 วันติดต่อกัน โดยไม่ปรากฏข้อห้าม ข้อจำกัด หรือพฤติกรรมพิเศษที่จะทำให้ไม่สามมารถทำการโอนดังกล่าวในคราวเดียวกันได้ ย่อมเป๊นการขาดเหตุผลตามปกติทางการค้า
ทั้งเป็นการแจ้งชัดแล้วว่า โจทก์ ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินและมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(5) (ข) จากฐานภาษี ในการโอนที่ดินทั้งแปดแปลง แต่กลับสมรู้กับนาย ก.เพื่อทำให้มีการหักภาษี นำส่งไม่ครบถ้วนถูกต้อง ทำให้นายก.ได้รับประโยชน์ทางภาษีอากร โดยคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายต่ำกว่าฐานภาษีที่แท้จริง ทำให้รัฐเสียหาย บริษัท ข.จึงต้องร่วมรับผิดชอบกับนาย ก.ในการเสียภาษีที่ต้องชำระ ตามจำนวนเงินภาษืที่ต้องขาดไป
นายชูวิทย์ จึงตั้งคำถามว่า ยังอยากได้ว่าที่นายกฯที่เสนอตัวเองเป็นนายกฯ ที่ต้องมีความซื่อสัตย์ เป็นที่ประจักษ์หรือไม่ ซึ่งพฤติกรรมนี้เข้าข่ายการเป็นกระบวนการ และการมาร้องเอาผิดเจ้าพนักงานที่ดินพระนครในการเป็นตัวการตามมาตรา 157 ในกรณีให้ผู้ซื้อและผู้ขายร่วมกันฉ้อฉล ในเมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่โดยการออกอุบายหลีกเลี่ยง แล้วก็มีหนังสือกำชับแล้วของกรมที่ดิน มีกระทั่งคำพิพากษา ดังนั้นเจ้าหน้าที่รับ จะเป็นตัวการอยู่แล้ว ถ้าเห็นแบบนี้แล้วปฏิเสธ แล้วไม่ทำ นิติกรรมนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่นิติกรรมนี้เกิดขึ้น อาจต้องมีอะไร มันถึงจะเกิดขึ้นได้
ส่วนผู้ซื้อผู้ขายต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี เจตนาแจ้งข้อความเท็จหรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดงเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบายหรือวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน
แต่การที่ตนออกมาแฉ ก็มากล่าวหาว่าเรื่องการเมือง ขอเรียนให้ทราบว่า กับพรรคเพื่อไทยตนไม่มีปัญหา อีกอย่างพรรคเพื่อไทยยังมี นางสาวแพรธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง และยังมีนายชัยเกษม นิติสิริ จะบอกว่า นายชัยเกษมไม่สบาย หรืออุ๊งอิ๊งเด็กไป แต่คุณเป็นคนใส่ชื่อไปเอง แล้วมันจะไปถึงบิ๊กป้อมได้อย่างไร ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ยกให้บิ๊กป้อมเอง และถ้าตนไม่พูดก็ถือว่านี้คือความเสียหาย จึงย้อนถามกลับว่ามีหลักฐานเหมือนตนหรือเปล่า
ขณะเดียวกัน นายชูวิทย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงข่าวว่าปมเหตุของการที่ตนออกมาแฉ มาจากการซื้อขายที่ดินที่ไม่ลงตัว ซึ่งนายชูวิทย์ ยืนยันว่า ยังไม่มีการทำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดินแต่อย่างใด เนื่องจากยังติดสัญญาการซื้อขายกับบริษัท ไร มอน แลนด์ ซึ่งตกลงซื้อขายกันในราคา 1,600 ล้านบาท โดย ไร มอน แลนด์ ได้มีการมีการจ่ายมัดจำมาแล้ว 400 ล้านบาท ยังคงเหลือค้างชำระอีก 1,200 ล้านบาท ซึ่งต้องชำระภายในเดือนธันวาคมนี้ ทำให้ตนเองทำธุรกรรมหรือซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากติดสัญญาดังกล่าว
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ที่ดินของตนเองไม่สามารถซื้อขายกับใครได้ เนื่องจากติดสัญญากับบริษัท ไร มอน แลนด์
ทั้งนี้ การที่นายพร้อมพงษ์ ออกมาถามว่าสิ่งที่ตนออกมาเเฉ ต้องการตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ในสมัยที่ตนเองติดคุก นายพร้อมพงษ์อยู่ในห้องที่ 11 ซึ่งเวลานายพร้อมพงษ์เดินในคุก ก็จะมีคนเดินตาม คอยนวดให้ซ้ายขวา ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ตนอยากบอกว่า นายพร้อมพงษ์ยังไม่เข็ดหรอที่เคยไปติดคุก
ส่วนกรณีที่ตอนนี้มีคนกำลังพยายามโจมตีตนเรื่องที่ดิน ที่มีภาพปรากฎว่าตนมีการพูดคุยกับนายเศรษฐา นั้นนายชูวิทย์ กล่าวว่า "คุณโจมตีผมไปเถอะผมของแข็ง"
พร้อมชี้เเจงว่า ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 2565 ได้มีการพูดคุยกันจริง แต่การพูดคุยในครั้งนั้น นายเศรษฐา ส่งคนมาเชิญตนไปพูดคุยด้วย เพื่อจะขอซื้อที่ดินของตน แต่ที่ดินผืนดังกล่าวยังติดสัญญาอยู่กับบริษัทไรมอนแลนด์ จึงไม่สามารถขายให้นายเศรษฐาได้ ซึ่งรายละเอียด เนื้อหาการพูดคุยมีเพียงเท่านี้ และในการพูดคุยกันในวันนั้นนายเศรษฐา ยังบอกกับตนว่าในชีวิตนี้ไม่เคยคิดที่จะเป็นนักการเมือง แต่สุดท้ายกลับยกตัวเองขึ้นมาเป็นเเคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อาศัยการขึ้นรถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์
ขณะเดียวกันนายชูวิทย์ ได้โชว์หลักฐาน เป็นเเชทการสนทนากับนายเศรษฐา ในวันที่ 16 กันยายน ปี 2565 ซึ่งนายชูวิทย์ได้ส่งข้อความไปว่า "ผมเห็นว่าวันก่อน คุณค่อนข้างหงุดหงิด รักษาสุขภาพดีกว่าครับ อายุก็ห่างกับผมไม่มาก มีความสุขใจดีกว่า เงินก็มีเยอะอยู่แล้ว" จากนั้นก็ส่งข้อความไปอีกประโยค ว่า "รู้จักกันนานๆ มากๆ ดีกว่าครับ อนาคตคุณยังอีกไกล"
ทางด้านนายเศรษฐา ก็ส่งข้อความกลับมาว่า "ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นครับ ไม่ได้หงุดหงิดเลยครับ เป็นคนใจร้อน อยากให้ถึงเป้าหมาย มีเงินน้อยกว่าคุณชูวิทย์ มีรายจ่ายเยอะกว่าครับ"
นายชูวิทย์ กล่าวว่า หลังจากนั้นในเดือนธันวาคมปี 65 นายเศรษฐาได้ส่งกระเช้ามาให้ตน ตนจึงส่งข้อความอวยพรกลับไปให้ ซึ่งจะเห็นว่าการพูดคุยและการพบเจอกันนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้มีปัญหาหรือเรื่องขุนข้องหมองใจใดๆ กัน ซึ่งตนพิพากษ์วิจารณ์นายเศรษฐาด้วยใจเป็นธรรม ในกรณีที่นายเศรษฐาจะเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงแม้นายเศรษฐาจะฟ้องร้องตน ก็ฟ้องไป
เมื่อถามว่าในเมื่อมีหลักฐานปรากฎเช่นนี้เเล้ว เเต่เหตุใดทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทย จึงยืนยันว่าการกระทำนิติกรรมดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง นายชูวิทย์ ตอบว่า กฎหมายอยู่ที่ผู้ใช้ ทนายความก็มีสิทธิ์เข้าข้างลูกความของตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่หนีไม่พ้นมีอยู่ 2 สิ่ง คือความตาย และภาษี
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/cQu0JK0VWGA