เลือกตั้งและการเมือง
'ชูวิทย์' เมิน 'เศรษฐา' ฟ้อง 500 ล้าน ด้าน 'พร้อมพงศ์' โต้กลับ ชี้ปมแฉ เพราะขายที่ให้แสนสิริไม่ได้
โดย nattachat_c
8 ส.ค. 2566
13 views
วานนี้ (7 ส.ค. 66) เป็นครั้งแรกที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ออกมาเคลื่อนไหว หลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ออกมาแฉเรื่อง 'นิติกรรมอำพราง' โดยนายเศรษฐา ได้ออกมาทวีต ระบุข้อความว่า
'จากกรณีคุณชูวิทย์เปิดประเด็นธุรกรรมซื้อขายที่ดินแปลงหนึ่ง ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และพาดพิงเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรมของผม ขอยืนยันว่าแสนสิริขับเคลื่อนภายใต้หลักธรรมาภิบาล การปฏิบัติหน้าที่ของผมในขณะนั้น เป็นไปตามกรอบกฎหมาย เพื่อความเข้มแข็งขององค์กร ผู้ถือหุ้น ด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม กรณีนี้เป็นการกล่าวหาให้เกิดความเสียหาย ผมจึงขอใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ให้ทนายความฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณชูวิทย์ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน'
-------------
วานนี้ (7 ส.ค. 66) ช่วงเช้า นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความที่ได้รับมอบหมายจากนายเซรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี นำหลักฐาน มายังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีที่มีการแถลงข่าวกล่างถึงนายเศรษฐา สมัยเป็นผู้บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด มหาชน มีพฤติการณ์หลบเลี่ยงภาษี จำนวนกว่า 500 ล้านบาท
นายวิญญัติ บอกว่า วันนี้ที่ตนเองมา ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งคนป่วย หรือซ้ำเติมคนที่บอกตัวเองว่าอยู่ได้ไม่นาย หรือใกล้ตาย ในฐานะเพื่อนมนุษย์ของให้กำลังใจ ให้ต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่
แต่แม้จะเป็นคนป่วย หรือคนธรรมดา แต่ถ้ามีการกระทำความผิดกฎหมาย ทำให้นายเศรษฐาเป็นผู้ได้รับเสียหายก็ต้องปกป้องสิทธิ์ตัวเอง
แม้ว่า นายชูวิทย์ อาจบอกว่าเป็นการตรวจสอบใช้สิทธ์ประชาชนตามรัฐธรมนูญ แต่อย่าลืมต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย การแถลงข่าววันนั้น มีการใช้สื่อประกอบ มีบุคคลที่ 3 จำนวนมาก มีคนถูกพาดพิงหลายคน แ
ละนายชูวิทย์ ยืนยันว่า นายเศรษฐา รับรู้ สมรู้ ร่วมวางแผน จึงต้องฟ้องวันนี้ ในสาระสำคัญว่า นายชูวิทย์ กล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน จงใจปกปิด และให้คนเข้าใจผิดหรือไม่ เป็นข้อกล่าวหาที่นำมาฟ้อง โดยนายชูวิทย์เจตนาใส่ความนายเศรษฐา ชัดเจน
ข้อเท็จจริงที่ตนทราบ และแสนสิริ เคยชี้แจงว่า การได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์รวม ไม่ใช่การได้ที่ดินมาพร้อมกันอย่างที่ นายชูวิทย์ แถลง แต่เป็นการได้มาโดยไม่พร้อมกัน ตามคำสั่งกรมสรรพากร ป.100/2543 พูดถึงเรื่องบุคคลที่ได้กรรมสิทธิ์มาโดยการขาย ต้องเสียภาษีในหน่วยภาษีที่แบบรายบุคคล ไม่ใช่นิติบุคคล
โดยกรณีบริษัทแสนสิริ เข้าข้อยกเว้น คือกรรมสิทธ์รวมของผู้ถือหุ้น ได้มาไม่พร้อมกัน ต้องดูหน่วยเสียภาษีอย่างบุคคลธรรมดา แยกชำระกันแต่ละคน โครงสร้างนี้ คนมีหน้าที่เสียภาษีคือผู้ขาย ตกลงตามเอกเทศน์สัญญา คนซื้อ คนขาย ตกลงกันยังไงก็ได้ โดยการโอนต้องโอนต่างวัน เสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นิติบุคคลตามที่กล่าวอ้าง
ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเส้นบางๆ ระหว่างจริยธรรม หรือวางแผนมา เรื่องนี้เป็นการวางแผนภาษี ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิด ให้รัฐเสียผลประโยชน์ เพราะรัฐดำเนินการเอง พวกนี้เป็นข้องดเว้นหมด เป็นข้อเท็จจริงที่อยากนำเรียน ที่ นายชูวิทย์ บอกคือจริยธรรม ฝ่าฝืนร้ายแรง เรื่องนี้เป็นนามธรรม เอาอะไรมาบอกว่าฝ่าฝืน
ขณะเดียวกัน นายวิญญัติ ได้โชว์ชาร์จที่เตรียมมา เปรียบเทียบระหว่าง นายชูวิทย์ และนายเศรษฐา ในเรื่องจริยธรรมของทั้งสองคน พร้อมกล่าวว่า การที่จะไป ปปช. วันนี้ ถ้ากล่าวหาแล้วไม่เป็นความจริง โดนฟ้องกลับ และทำให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินเสียกำลังใจ เขาเคยหารือกันชัดเจนแล้ว กรมที่ดินไม่ทำอะไรเลื่อนลอย เรื่องนี้เป็นการซื้อขายทรัพย์ที่มีราคาสูง เรื่องนี้แสนสิริทำถูกต้อง อย่านำประเด็นนี้ไปขยาย หรือเผยแพร่ให้เกิดการเสียหาย ถ้านำไปทำจะฟ้องแน่นอน
จากนั้นนายวิญญัติได้แสดงแผนภาพแบ่ง 2 ฝั่ง ระหว่างเศรษฐาและชีวิตเพื่อเปรียบเทียบกัน โดยระบุว่า นายชูวิทย์เคยถูกระงับสิทธิเลือกตั้ง เคยประกอบกิจการอาบอบนวด เคยรับโทษจำคุก เคยต้องโทษคำพิพากษาเกี่ยวกับการปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และอยู่ระหว่างการต้องห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง แต่นายเศรษฐาไม่เคยติดยาเสพติด ไม่เคยเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่เคยถูกระงับการใช้สิทธิเลือกตั้ง และถูกตัดสินรับโทษจำคุก
นายวิญญัติกล่าวต่อว่า การที่นายชูวิทย์ออกมากล่าวหานายเศรษฐาก่อนถึงวันประชุมร่วมรัฐสภามีเจตนาคืออะไร ถ้ามีเจตนาตรวจสอบก็ว่าไป แต่การกระทำให้แคนดิเดตอันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทยที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกรัฐสภาเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกมองว่าเป็นคนโกงภาษีไม่มีความเหมาะสมเป็นนายกฯ อันนี้คือเจตนาที่เราเห็นว่านายชูวิทย์ไม่สามารถปฏิเสธได้
นายวิญญัติกล่าวว่า ในเรื่องนี้มีการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วย เนื่องจากเข้าข่ายเป็นการละเมิดไขข่าวแพร่หลาย ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง โดยมีการเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ได้ยื่นฟ้องแล้ว นัดไต่สวนวันที่ 9 ตุลาคมนี้ วันนั้นจะมีพยานบุคคล 7-8 ปาก และพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อศาล
นายวิญญัติกล่าวในช่วงท้ายว่า ได้รับข้อมูลว่ามีบริษัทหนึ่งที่มีลูกของชูวิทย์เป็นคณะกรรมการ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ชื่อ บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ขอให้นายชูวิทย์ระวังการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดีเพราะมีคนจับตาดูอยู่ บริษัทนี้ทำอะไร อย่างไร กำลังมีผู้จับตา
--------------
ด้าน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พร้อมด้วย อนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมายังศาลอาญา ถนนรัชดาพิเษก พูดถึงกรณีที่ นาย เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ที่จะฟ้องนายชูวิทย์ ที่ไปแฉกรณีการหลบเลี่ยงจ่ายภาษีที่ดิน มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท เมื่อครั้งเป็นผู้บริหารบริษัท แสนสิริ จำกัด มหาชน
โดยนายชูวิทย์ พูดคำแรกกับสื่อมวลชน ว่า “ขนลุก” ผมยืนข้างกับทนายความกระดูกเหล็ก แล้วตอนนี้ผมมีคดีความอยู่ 21 คดีแล้ว จะมีอีกคดีมันก็ทำเพื่อชาติบ้านเมือง
และบอกว่า นายเศรษฐา เป็นบุคคลสาธารณะ เสนอตัวเองขึ้นมาเป็น นายกรัฐมนตรีของคนไทย ดังนั้น การวิจารณ์เป็นการวิจารณ์ด้วยความเป็นธรรม และยังมองอีกว่า นายเศรษฐา เป็นนายทุน ที่ขึ้นรถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์ โดดเข้ามายังพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ไต่เต้า แต่ไต่อะไรเข้ามาไม่รู้
และเมื่อสิ่งที่นายเศรษฐาจะเข้ามานั้น ก็เป็นสิทธิที่ประชาชนอย่างผมจะวิพากษ์วิจารณ์ เพราะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 คนที่เป็นนายกจะต้องมีความซื่อสัตย์เป็นประจักษ์ ซึ่งจะต้องไปดูความตามกฎหมายเป็นคุณสมบัติในอดีต หรือ เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ก่อนที่นายเศรษฐาจะเข้ามาเป็นนายกก็ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
แต่เมื่อมีพฤติกรรมซ่อนเร้น น่าสงสัย จากการวางแผนหลบเลี่ยงภาษี ไม่ใช่จู่ๆ ตนเองจะไปพูด ซึ่งประเด็นดังกล่าว นายเศรษฐาจะมาฟ้องตนเองนั้น ตนเองก็ยังพูดกับทนายความเลยว่า จะฟ้องกลับ เพราะดูเหมือนเป็นการกลั่นแกล้ง ปิดปาก และที่ผ่านมานายเศรษฐา กลับเงียบ ไม่ออกมาชี้แจงแต่กลับจะฟ้องตนเอง
และนายชูวิทย์ ยังเปิดเผยอีกว่า ในสัปดาห์นี้ตนเองจะเดินหน้าแฉเรื่องอีกหลายอย่าง และ บ่ายวานนี้ (7 ส.ค.) ตนเองจะเดินทางไปยัง ปปช.เพื่อแสดงหลักฐานบางอย่างอีกด้วย และยังบอกอีกว่าตนเองมีความรู่ด้านบัญชี กสรตรวจสอบบัญชี และภาษีอีกด้วย
นายชูวิทย์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีทนายบางคนออกมาตอบโต้ตน ถือว่าไม่เป็นไรเพราะเราอย่าลืมคำว่าจริยธรรม คนที่เป็นนายกจะต้องดี 100% ไม่ใช่ดีเพียง 50% เพราะคำว่าจริยธรรมเป็นเพียงเส้นบางๆระหว่าง เล่ห์เหลี่ยมของนายทุน กับความซื่อสัตย์ของนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ทำนี้ ถ้าคิดว่าถูกกฎหมาย ก็ต้องไปประกาศ ว่าสิ่งที่ทำเป็นกฎของเศรษฐา การแบ่งแยกโอน 12 คน 12 วัน เปรียบเหมือน ศรีธนญชัยมันเป็นสิ่งชัดเจนอยู่แล้วว่าคุณวางแผน ตกลงกัน ว่าจะมีการตอบแทนอะไรต่อกัน ยิ่งตัวเองเป็นบริษัทใหญ่ มหาชน มีการโฆษณารักเด็ก รักษ์โลก แต่กลับไม่มีธรรมาภิบาล
เมื่อถามว่าเมื่อไปยื่นเรื่องที่สรรพากรที่ผ่านมานั้นได้คำตอบแล้วหรือไม่ นายชูวิทย์กล่าวว่าตนเป็นคนชอบขุด ชอบทำหลุมพรางไว้ก่อน แล้วล่อให้ตกหลุมลงมา จาหนั้นก็จะเอาหลักฐานมารัดคอ ว่าสิ่งที่ผู้รู้กฎหมายออกมาพูดนั้นมันจริงหรือไม่
และยังบอกอีกว่าพฤติกรรมการหลบเลี่ยงภาษีในลักษณะนี้ เคยมีการดำเนินคดีมาแล้ว มีการตัดสินคดีมาแล้ว มีบทเรียนมาแล้ว มีโทษตามกรรม เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายร่วมทำนิติกรรมอำพรางด้วยกันก็จะต้องรับโทษตามกฎหมาย และยังพูดอีกว่า "คนใส่สูทเวลาจะปล้นไม่ได้ใช้ปืนแต่ใช้กฎหมายเว้นวรรค"
ด้านอนันต์ไชย กล่าวว่า หลักมีอยู่ว่าการกระทำความผิดในคดีอาญาต้องมีเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กรณีที่เกิดขึ้นกับนักการเมืองและมีการตรวจสอบโดยประชาชน ถือว่าประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบ ถ้ามีผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินหลายคนก็จะต้องคุยให้จบทุกคน จากนั้นเป็นขั้นตอนสู่การโอน ซึ่งการลดภาษีก็มีช่องทางวิธีการทำอยู่ ทั้งนี้กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา
-------------
วานนี้ (7 ส.ค.) เวลา 13.00 น. ที่โรงแรมดิเอ็มเมอรัลด์ กรุงเทพฯ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง ระบุที่นายเศรษฐา มอบอำนาจให้ทนายความฟ้องดำเนินคดีกับตนเองนั้นเป็นการฟ้องปิดปาก
ตนขอชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่มีใครไปปิดปากคนอย่างนายชูวิทย์ได้ หากนายชูวิทย์ ตรวจสอบนายเศรษฐา อย่างบริสุทธิ์ใจ ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า นายชูวิทย์ มีข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วแต่เหตุใดจึงไม่ตรวจสอบตั้งแต่ได้รับข้อมูลมา หรือก่อนที่นายเศรษฐา จะถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ตนเองในฐานะเป็นนักการเมือง และเคยตรวจสอบในคดีสำคัญหากไม่มีวาระซ่อนเร้นเราต้องตรวจสอบอย่างนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
สำหรับประเด็นที่นายชูวิทย์ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม กล่าวหานายเศรษฐา ว่าทำนิติกรรมอำพราง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต รู้เห็นเป็นใจกับบริษัทที่ขายที่ดินให้กับบริษัทแสนสิริ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 500 ล้านบาท เรื่องนี้ ตนขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรเลย เป็นการจับแพะชนแกะ พูดความจริงครึ่งเดียวของนายชูวิทย์ คือผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการโอนแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน จึงไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมกัน ในทางกฎหมายอนุญาตให้ทำได้
ต่อมาเมื่อมีการขายให้บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบของกรมที่ดิน และระเบียบของกรมสรรพากร ซึ่งถ้าไม่ถูกระเบียบกรมที่ดินก็ไม่สามารถให้ผู้ขายโอนให้ได้ และกรมสรรพากรคงฟ้องร้องผู้ขายไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เนิ่นนานขนาดนี้ ใครก็รู้ว่ากรมที่ดิน และกรมสรรพากรล้วนมีระเบียบที่เคร่งครัด ไม่ถึงมือนายชูวิทย์ หรอก อย่างไรก็ตามการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 100/2543 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ข้อ 4 (2)
เรื่องนี้ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า นายชูวิทย์ ซึ่งเป็นนักธุรกิจอสังหา มีทีมกฎหมายเป็นที่ปรึกษา ก่อนมาแถลงข่าวกล่าวหานายเศรษฐา คงจะต้องศึกษารายละเอียดมาหมดแล้วว่าผู้ขายทั้ง 12 คนนี้ได้ที่ดินมาไม่พร้อมกัน นายชูวิทย์ ก็รู้ แต่จงใจพูดข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าได้ที่ดินมาพร้อมกันในวันที่แถลงข่าว เหมือนพูดความจริงครึ่งเดียว เหตุใดนายชูวิทย์ จึงไม่พูดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าที่ดินได้มาไม่พร้อมกัน นายชูวิทย์ ปกปิดความจริงข้อนี้เพื่อใช้เป็นช่องในการกล่าวหานายเศรษฐา ใช่หรือไม่ เพราะหากนายชูวิทย์ พูดความจริงตรงนี้ให้หมดตัวเองจะกล่าวหานายเศรษฐาไม่ได้เลย
นอกจากนี้ ตนตั้งข้อสังเกตต่อว่า ผู้ซื้อเป็นนิติบุคคล เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีผู้บริหารหลายคน แต่เหตุใดนายชูวิทย์ จึงตั้งใจโจมตี ดิสเครดิตนายเศรษฐาเพียงคนเดียว ถามว่าหากไม่มีวาระซ่อนเร้นทำไมช่างบังเอิญเช่นนี้ ต่อมาก็กล่าวหานายเศรษฐา มีเงินทอน เป็นตัวการร่วมหรือรู้เห็นเป็นใจซึ่งเรื่องนี้ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ตนได้รับเอกสารข้อหารือลงวันที่ 9 มีนาคม 2558 ระหว่างกรมที่ดิน กับกรมสรรพากรกรณีนี้ ซึ่งมีข้อสรุปออกมาเป็นไปตามคำสั่งกรมสรรพากรข้างต้น ดังนั้นการกล่าวหาว่านายเศรษฐา รู้เห็นเป็นใจ หรือสมคบกับผู้ขายในการหลีกเลี่ยงภาษีมีเจตนากลั่นแกล้ง และหวังผลทางการเมืองต่อตัวนายเศรษฐา
สำหรับที่กล่าวหาว่านายเศรษฐา ไม่ซื่อสัตย์ กระทำผิดกฎหมาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินทอนในการซื้อขายที่ดินแปลงนี้โดยนายชูวิทย์อ้างถึงราคาที่ดินตารางวาละเกือบ 4 ล้านบาทนั้น ข้อเท็จจริง ราคาที่ดินบริเวณดังกล่าวที่บริษัทแสนสิริ ซื้อจากเอกชนนั้นตั้งอยู่ที่ถนนสารสิน ตรงข้ามกับสวนลุมพินี เป็นทำเลทอง ซึ่งเป็นไปตามราคาตลาด นักธุรกิจที่อยู่ในแวดวงอสังหารู้ว่าเป็นราคาปกติ เมื่อเปรียบเทียบกับที่ดินของนายชูวิทย์ ที่ขายในเดือนเดียวกันให้แก่บริษัทไรมอนแลนด์ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่นายชูวิทย์ อ้างผ่านสื่อว่าขายไป 2000 ล้านบาท ราคาตารางวาละเกือบ 3.6 ล้านบาท
ทั้งที่ ที่ดินนายชูวิทย์ อยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ที่ดินของนายชูวิทย์ ก็ราคาไม่ต่างกับราคาที่บริษัทแสนสิริซื้อ เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาใดๆ ทั้งหมดที่นายชูวิทย์ ได้แถลงมาจึงน่าจะเป็นความเท็จ ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ตนขอยืนยันว่านายเศรษฐา ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้ทำผิดจริยธรรมตามที่นายชูวิทย์ กล่าวอ้างแต่อย่างใด
“ผมขอตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมของนายชูวิทย์ที่นายชูวิทย์ ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีความเจ็บแค้น ไม่มีปัญหา และไม่ได้ขายที่ดินของนายชูวิทย์ ให้บริษัทแสนสิริ รวมถึงไม่มีวาระซ่อนเร้นใด ๆ นั้น นายชูวิทย์ อาจจะความจำอาจจะสั้น โดยวันนี้ผมจะมาจับโกหกนายชูวิทย์ ซึ่งผมมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายว่านายชูวิทย์ เคยไปพบผู้บริหารบริษัทแสนสิริ พร้อมนายเศรษฐา เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 ภาพจากกล้องวงจรปิดก็มี เพื่อเสนอขายที่ดินแปลงของตนเองให้บริษัทแสนสิริ แต่ท้ายที่สุดทางแสนสิริปฏิเสธซื้อที่ดินของนายชูวิทย์ เป็นเหตุให้นายชูวิทย์ โกรธและดำเนินการในลักษณะนี้ใช่หรือไม่”
นายพร้อมพงศ์ ถามว่า “จริงหรือไม่ที่ก่อนที่นายชูวิทย์ จะมาแถลงข่าวได้พยายามเสนอขายที่ดินให้บริษัทแสนสิริอีกครั้งหนึ่งโดยเสนอราคาเพิ่มเป็น 2000 ล้านบาท แต่ถูกปฏิเสธอีกครั้ง เรื่องนี้คือประเด็นที่ทำให้นายชูวิทย์ ไม่พอใจใช่หรือไม่ ทั้งนี้ภาพทั้งหมดเกิดขึ้นที่บริษัทแสนสิริ ซึ่งเท่าที่ผมทราบนายชูวิทย์ ไม่ได้มีความสนิทสนมกับนายเศรษฐาถึงขนาดที่จะเข้าไปเยี่ยมกันถึงที่บริษัทได้ แต่ในภาพกลับจับมือ ดูสนิทสนม นี่คือพฤติกรรมของนายชูวิทย์ที่ตรงข้ามกับคำพูดที่ว่าแฉเพื่อชาติ”ตนอยากถามว่าวันนี้นายชูวิทย์แฉเพื่อใครกันแน่”
“นายชูวิทย์ ในฐานะที่เป็นคนมีความกว้างขวาง มีเพื่อนอยู่ทั้งในวงการทหาร และนักการเมือง ใคร ๆ ก็รู้ว่านายชูวิทย์ สนิทกับใคร ผู้มีอำนาจกลุ่มไหน อยากถามว่าที่นายชูวิทย์ ออกมาเป็นหัวขบวนเปิดเกมเขี่ยบอลสาดโคลนเป็นคนแรกเพื่อดิสเคดิตนายเศรษฐา ก่อนการโหวตนายกฯเพียงไม่กี่วันว่าไม่มีความเหมาะสม ถามว่าเป้าหมายของนายชูวิทย์ เพื่อทำให้นายเศรษฐา ขาดคุณสมบัติ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4) เรื่องจริยธรรม ผมถามว่านายชูวิทย์ รับงานใครมา หวังผลทางการเมืองเพื่อให้ใครกลับมาเป็นนายกฯอีกหรือไม่ นี่เป็นคำถามให้นายชูวิทย์ ต้องตอบ
“สุดท้ายนายชูวิทย์ กล่าวหานายเศรษฐา ว่ามีพฤติกรรมอำพราง แต่ผมเห็นว่าคนที่มีพฤติกรรมอำพรางน่าจะเป็นนายชูวิทย์ มากกว่า เพราะเวลานี้มีประเด็นที่ กทม.ร่วมกับอัยการต้องมานั่งประชุมกันในสิ่งที่นายชูวิทย์ อำพรางไว้กรณีที่จะต้องติดคุก 5 ปี แลกกับการยกที่ดินเป็นสวนสาธารณะ แต่นายชูวิทย์ กลับสู้กับ กทม.และอัยการว่าเป็นที่ของบริษัท ตัวเองจะไปยกให้สาธารณะได้อย่างไร และยังเสียภาษีอยู่ตลอด แถมกำหนดเวลาเปิด-ปิดสวนจน กทม.เข้าไปดำเนินการอะไรไม่ได้เลย ขอถามว่าใครมีพฤติกรรมอำพรางกันแน่สังคมสงสัยว่านายชูวิทย์คือ ลักษณะน่าจะเป็นโมฆะบุรุษใช่หรือไม่”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการแถลงข่าว นายพร้อมพงศ์ ได้เรียกพนักงานจัดส่งเอกสาร ส่งไวนิลภาพวันที่นายชูวิทย์ เข้าเจรจาขายที่ดินต่อบริษัทแสนสิริ ซึ่งขณะนั้นมีนายเศรษฐา เป็นประธาน เป็นภาพที่ทั้ง 2 จับมือกันอย่างชื่นมื่น ไปให้นายชูวิทย์ ถึงที่โรงแรมเดวิสเพื่อทวนความจำของนายชูวิทย์ ด้วย มั่นใจ ‘เศรษฐา’ โปร่งใสไม่มีมลทินหัวหมอง
-------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/otfJjU7QJTQ