เลือกตั้งและการเมือง

'สรยุทธ' เปิดอกคุย 'พิธา' ย้ำชัด 'ก้าวไกล' ไม่ร่วมรัฐบาล พปชร. - รทสช. ลั่น “มีลุงไม่มีเรา”

โดย petchpawee_k

21 เม.ย. 2566

219 views

วานนี้ (วันที่ 20 เม.ย.) รายการ กรรมกรข่าวเปิดอกคุย “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” โดยเป็นการสัมภาษณ์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และดำเนินรายการโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา


โดยเริ่มต้นได้ถามถึงการตั้งเป้าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งนายพิธากล่าวว่า ตั้งใจจะทำให้ได้เพิ่มมากกว่าอนาคตใหม่ เข้าฝักมากขึ้น ตั้งเป้าหมายหนึ่งร้อยขึ้น ตอนนี้เอาเท่านี้ตามบริบทความเป็นจริง และไม่ได้คิดขึ้นมาจากอากาศ


เมื่อถามว่าคิดแบบนี้เพราะหลงกระแสโซเชียลหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ล่าสุดเพิ่งลงพื้นที่ จ.หนองคาย ซึ่งกระแสโซเชียลคงไม่มีผล แต่ก็มีการเข้ามาถามถึงนโยบาบ โดยเราเข้าหาคนต่างจังหวัดด้วยนโยบาย ธกส. หนี้สินคนชรา ซึ่งพอบอกนักการเมืองมาพูดคุยเขาก็มาโดยธรรมชาติ มาฟัง เราเป็นพรรคการเมืองรุ่นใหม่ที่ใส่ใจคนรุ่นใหญ่ ซึ่งก็สามารถขยายฐานมากกว่าาอนาคตใหม่ หรือตอนเริ่มหาเสียง


การลงพื้นที่ต้องดูว่าจับต้องได้จริงไหม เพราะมีสองแบบคือชอบและเชื่อ ถ้าชอบเขาจะเข้ามาพบถ่ายรูป แต่จตากนั้นเขาจะตั้งตั้งคำถามไหมกับนโยบาย การลงพื้นหากเขาเริ่มสอบถามนโยบายเริ่มถกกัน แสดงว่าเขาศึกษาและอ่าน แล้วเขาจะไปเล่าต่อ


เมื่อถามว่าตั้งความหวังให้คนรุ่นใหม่ไปโน้มน้าวพ่อแม่หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า นี่เป็นหัวคะแนนธรรมชาติ ผมไม่มีเงินไปจ้างหัวคะแนนเหมือนพรรคอื่น แต่ถึงมีก็ไม่จ้าง


“สิ่งที่สำคัญในการเลือกตั้งคือจำนวนผู้มาช้สิทธิหากต่ำกว่า 70% กระสุนจะชนะกระแส แต่ถ้ามากกว่า 70% กระแสจะชนะกระสุน” นายพิธากล่าว


 จากนั้นพิธาอธิบายว่า กระแสคือนโยบายผลงานในอดีต ความไว้วางใจของประชาชน เพราะไม่สามารถมีหัวคะแนนไม่สามารถมีบ้านใหญ่


ทำให้ผู้ดำเนินรายการถามว่าไม่มีเงินจริงๆหรือ นายพิธาก็ตอบว่า “ความไม่มีเงินสายตาหลอกกันไม่ได้ครับพี่ มันเป็นจุดอ่อนของพรรคผมคือทรัพยากรที่มีไม่มากเพราะไม่ยอมรับทุนเทาจากที่ไหน”


เมื่อถามต่อว่า พรรคก้าวไกลคือพรรคแนวก้าวหน้ากับอีกฝั่งคืออนุรักษ์นิยม และมีคนจำนวนมากที่เห็นต่าง ก้าวไกลเสนอนโยบายเร็วไปไหม แรงไปไหมสุดโต่งไปไหม นายพิธากล่าวว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องซ้ายกับขวามันเป็นเรื่องของ 1% กับ 99% ที่เหลือ คน 99 % เขาจะรู้สึกช้าเกินไป กับความเหลื่อมล้ำ พวกนี้ต่างหากที่สะสมเป็นเวลานาน คนข้างบนต่างหากที่รู้สึกเร็วเกินไปสบายๆ


จากนั้นได้มีการถามถึงเรื่องการปลดล็อกสุรา นายพิธากล่าวว่า นี่คือการกระจายโอกาสสิทธิการทำกิน โดยหาได้เป็นรัฐบาลร้อยวันแรกจะส่งสิริกัญญา ตันสกุล หัวหน้าทีเศรษฐกิจไปเป็น รมว.คลัง แก้ไขกฎหมายไม่ให้มีกฎหมายกีดกันการค้าทางแอลกอฮอล์อีกต่อไป



 เมื่อถามว่าทุนใหญ่จะยอมหรือ นายพิธากล่าวว่าก็ต้องคุยกันในสภา เรื่องนี้ถ้าถามปี 2562 อาจจะยาก แต่ตอนนี้ก้าวหน้าพอสมควร คนที่กังวลทุนใหญ่ว่าจะถูกคุกคาม จากค่าเฉลี่ยที่ออสเตรเลียพอผ่านกฎหมายสุราก้าวหน้ามาร์เก็ตแชร์เจ้าใหญ่หายไปแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ หรือประมาณสามสี่หมื่นล้าน แต่ส่วนนี้จะกระจายจากเจ้าสัวไปสู่เกษตรกร โดนตนคิดว่าเรื่องนี้วินๆ ด้วย


ต่อการปฏิรูปกองทัพ นายพิธากล่าวว่า เมื่อเราปฏิรูปกองทัพเมื่อไหร่ กองทัพที่เป็นมืออาชีพ จะมีงบประมาณไปสู้ภัยคุกคามแบบใหม่และจะทำให้มั่นใจกับความมั่นคงของปรเะเทศมากขึ้น ยิ่งมีจำนวนพลทหารมากเท่าไหร่ แปลว่าไม่มีงบประมาณไปพัฒนากองทัพ เรามีภัยอื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม โรคอุบัติใหม่ สังคมผู้สูงวัย หากไปอยู่กับตรงนี้มากเกินไปในการทหารที่ล้าหลัง เราจะไม่มีงบประมาณมาดูแลเรื่องท้าทายใหม่ๆ เช่น PM2.5


 “ผมต้องการจะรีดไขมันจากกองทัพที่ไม่จำเป็น และการยกเลิกการเกณฑ์ทหารไม่เท่ากับการยกเลิกทหาร” นายพิธากล่าว


นายพิธา กล่าวว่า หากเป็นทหาร เราต้องตัดออก 30-40% ให้เท่าค่าเฉลี่ยโลกจะประหยัดได้ห้าหมื่นล้าน และไม่ใช่แค่ตนคนเดียวที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอนที่ไปเยี่ยมเหตุกราดยิงที่โคราชก็บอกว่าถึงเวลา ปฏิรูปกองทัพ


 เมื่อถามถึงการร่วมรัฐบาลวว่ามีเงื่อนไขอะไรที่ตึงว่าหากไม่ทำจะไม่ร่วมรัฐบาล นายพิธากล่าวว่า ปฏิรูปกองทัพ สุราก้าวหน้า สมรสเท่าเทียม นี่คือเงื่อนไขร่วมรัฐบาลที่ตึง และที่ฟังจากพรรคร่วมฝ่ายค้่าน ณ ปัจจุบัน ยังไม่เห็นใครบอกว่าไม่ได้


เมื่อถามว่ากลัวปฏิวัติหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่กลัวครับ ผมศึกษาว่าเกาหลีใต้หยุดรัฐประหารได้อย่างไร ชิชีหยุดรัฐประหารได้อย่างไร เขาแก้ที่รัฐธรรมนูญ ห้ามศาลรับรองทุกสถาบันการรัฐประหาร ห้าม ข้าราชการสนับสนุน ลดอำนาจกองทัพลง ทหารมามาเล่นการเมืองได้ แต่ขอใบแดงพักไว้ก่อนเจ็ดปี ต้องมีการเว้นวรรค


 เมื่อถามว่าเป็นอาชีพพิเศษหรือไม่ เพราะอาชีพอื่นไม่ต้องเว้นวรรค ทำให้นายพิธาสวนทันทีว่ามีอาขีพไหนเคยทำรัฐประหารบ้าง “ขอให้เปิดใจดู เขาทำแบบนี้เขาหยุดได้ เขาเจริญจนเป็นเกาหลีใต้อย่างวันนี้ พี่น้องประชาชนไม่ยอมให้มีการรัฐประหารแบบนี้อีก”


นายพิธา กล่าวว่า เรากำลังสร้างประชาธิปไตยเต็มใบ ถ้าปฏิวติ จะเอา ส.ส.ไปยืนหน้าสภา พร้อมเล่าสว่าตนเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับรัฐประหาร โดยโดนเมื่อปี 2549 โดยพ่อตนเสียวันที่ 19 ก.ย. ตนบินกลับมาซึ่งขณะนั้นตนทำงานให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะข้าราชการการเมือง ปรากฏว่าถูกล็อกที่สนามบิน ตนผมไม่มีเงินไปงานศพให้พ่อเพราะถูกฟรีซบัญชี



 “กลับมาถูกบล็อกที่กองทัพอากาศ ถูกคุมตัวอยู่ ผมไปงานศพพ่อไม่ทัน และคนที่อยู่ในงานด้วยก็คือคุณปานปรีย์ ทำให้ผมเบาใจ เพราะแกมีประสบการณ์ จากนั้นไม่ได้โดนแค่คุมตัว โดนคุมการเงินด้วย ผมไปธนาคารเขาบอกว่าถูกอายัดต้องไปยืมเงินคนอื่นมาจ่ายงานศพพ่อ” นายพิธากล่าว


เมื่อถามว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจสั่งได้หรือไม่ นายพิธากล่าวติดตลกว่า “คุณธนาธรนอกจากเป็นผู้ช่วยหาเสียง ยังเป็นนาตาชาไปหาเสียงให้เพื่อนบ้านมาสองสามครั้งแล้ว”


 อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงความขัดแย้งกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล ก่อนหน้านี้ นายพิธากล่าวว่า เป็นเพราะห่างกัน หลังยุบพรรค นายปิยบุตรกลัวจะโดนข้อหาครอบงำพรรค พอห่างกันก็ไม่ได้พูดคุยกัน เขาก็มองจากข้างนอกและฟังคนอื่นเยอะ และเราพยายามทำให้ได้เต็มที่และมีการแสดงความเห็นมา แต่วิธีการผมและเขาต่างกัน เป้าหมายเหมือนกันแต่ข้อมูลที่ได้รับต่างกัน แต่ก็ปรับความเข้าใจ ตอนนี้เปลี่ยนจากวิกฤตเป็นโอกาส 22% ทุกองค์กรขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ แต่จะบริหารความขัดแย้งให้กลายเป็นจุดแข็งอย่างไรไม่ใช่จุดอ่อน


เมื่อถามว่าถูกมองว่าความขัดแย้งหายเร็วเพราะสร้างกระแสหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ที่หายเร็วเพราะประชาชน ผู้สมัครอินบอกซ์มาทำให้สติกลับมาเร็วและทำความเข้าใขและขอโทษกันและกัน ต่อจุดยืนในการร่วมรัฐบาลว่าจะร่วมกับพลังประชารัฐหรือรวมไทยสร้างชาติหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า “มีลุงไม่มีเรา”



 ขณะที่กับพรรคภูมิใจไทย นายพิธา กล่าวว่า อยากร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ณ ปัจจุบันก่อน เราก็กังวลใจเรื่องสิ่งที่เราเคยอภิปรายเขามา โดยในกระทรวงต่างๆทมี่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมา หากจำเป็นจริงๆและร่วมกันก็ต้องมีเงื่อนไข เช่นภูมิใจไทยต้องไม่ดูกระทรวงคมนาคมหรือสาธารณสุข ขณะที่ ประชาธิปัตย์ก็ต้องดูหลายเรื่องก็ไปด้วยกันได้พอสมควร แต่ก็มีจุดเยืนเรื่องต่อต้านประชาธิปไตย ต้องดูว่าเขาเป็นอย่างไร



ส่วนเรื่องมาตรา 112 พิธาระบุว่าสิ่งที่ต้องแก้คือ โทษสูงเกินไป ใครฟ้องก็ได้ ถ้าตั้งคำถามดดยสุจริตใจมีประโยชน์ต่อสถาบันไม่ถือเป็นการอาฆาตมาดร้าย และเมื่อไปอยู่ในหมวดความมั่นคงก็ทำให้สิทธิการประกันตัวไม่มี


“เพื่อให้ความสัมพันธ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนดีขึ้น และให้ประเทศไทยดำรงในประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขต่อไป” นายพิธษกล่าว


เมื่อถามว่าเรื่องนี้เป็นจุดยืนการเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า “ตึงแต่ไม่เกี่ยวกับการเข้าร่วมรัฐบาล ส.ศ.พรรคก้าวไกลไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็จะยื่นแก้ม.112 และ ม.116”


ผู้ดำเนินรายการถามว่า ในสังคมมีคนสองกลุ่ม คนกลางๆมี คนไปทางก้าวหน้ามี สุดขั้วก็มี คนที่ไปอีกทางที่ถูกเรียกว่าขวาชสุดก็มี ประเด็นนี้อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคมได้


นายพิธากล่าวว่า ตนคิดว่านอกจากจะไม่กลัว แต่การเอามาพูดคุยในสภาอย่างมีมีวุฒิภาวะจะลดความรุนแรงและความเห็นต่างได้ดีกว่า ความรู้สึกของยุคสมัยมันเปลี่ยนกันได้


เมื่อถามว่าหาก ถ้าเป็น รมว. กลาโหม จะโยกย้ายผู้นำเหล่าทัพหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ตนไม่มีความแค้นส่วนตัวกับใครคนใดคนหนึ่ง แต่จะปรับโครงสร้างที่ซับซ้อน ที่จะบอกว่าไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวและจะทำให้ท่านดีขึ้นด้วยซ้ำไป



 “แต่ถ้าเป็นคนทำรัฐประหารก็แค้นทั้งส่วนตัวเพราะทำให้อนาคตหลายคนหายไปเยอะ สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ก็แค้นเพราะเขาทำให้ทศวรรษที่สูญหาย”



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/_jMrjYimPLI

คุณอาจสนใจ

Related News