เลือกตั้งและการเมือง

ศาลปกครองเชียงใหม่ ยกฟ้องนายกฯ ไม่แก้ PM 2.5 - 'บิ๊กตู่' ชี้แก้ปัญหาฝุ่น ต้องแก้ที่ความคิดของคน

โดย passamon_a

30 มี.ค. 2566

22 views

จากประเด็นการที่ภาคประชาชนชาวเชียงใหม่ ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากมีการปล่อยปะละเลยปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ โดยไม่ได้มีการแก้ไขจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน


ที่ผ่านมา นายภูมิ วชร เจริญผลิตผล นักกฎหมาย ตัวแทนภาคประชาชน จึงได้มีการยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในกรณีไม่ได้สั่งการให้แก้ปัญหาผลกระทบจากมลพิษฝุ่นควัน PM 2.5 เมื่อวันที่ 22 ก.พ.66 ที่ผ่านมา และเมื่อช่วงกลางเดือน มี.ค.66 ศาลได้มีการนัดไต่สวนสืบพยาน ในกรณีดังกล่าว โดยทางตัวแทนภาคประชาชน นักวิชาการ ได้มีการยื่นเอกสารงานวิจัยผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 และล่าสุดการวินิจฉัยของศาลปกครอง เมื่อวันที่ 28 มี.ค.66 พบว่า ศาลปกครองได้มีคำสั่งยกฟ้อง


โดยศาลปกครองเชียงใหม่ ได้มีการพิพากษาคดีประชาชนยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โดยระบุว่า ตามที่ประชาชนชาวเชียงใหม่ได้ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี โดยมีการระบุว่า การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในปี 2566 มีปริมาณเกินมาตรฐานจนส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ โดยมีแหล่งกำเนิดมาจากการเผาในที่โล่ง โดยเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการช่วยเหลือด้านการสาธารณสุขให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่น PM 2.5


ศาลมีคำวินิจฉัยแล้วว่า ปริมาณฝุ่น PM 2.5 มีค่าสูงต่อเนื่องตามเกณฑ์ที่วินิจฉัย เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่จัดการกับปัญหาดังกล่าว รวมทั้งไม่มีการพิจารณายกระดับเป็นสาธารณภัยร้ายแรง ข้ออ้างดังกล่าวไม่สามารถรับฟังได้ ศาลจึงมีการยกฟ้อง เนื่องจากพบว่าปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในบรรยากาศโดยทั่วไป ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยในระหว่าง ม.ค.-ก.พ.66 ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสถานการณ์ร้ายแรง เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว จึงไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ รวมถึงบริการอื่นจากหน่วยงานรัฐ เพื่อป้องกันและบรรเทาภัยจากฝุ่นที่เกินมาตรฐานดังกล่าว จึงไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่มาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 กำหนดไว้ พิพากษายกฟ้อง


ต่อมา นายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ซึ่งเป็นผู้ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ผมไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว เพราะหลักฐานขณะยื่นฟ้องคดีนี้เป็นข้อมูลช่วงเริ่มต้นฤดูกาลมีฝุ่นควัน แน่นอนว่าจากวันที่ผมยื่นฟ้องมาถึงขณะนี้ PM 2.5  มีปริมาณมากขึ้นหลายเท่าตัว ซึ่งสภาพการณ์ PM 2.5 ขณะนี้อยู่ในระดับเกินร้ายแรงแล้ว เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลโดยนายกฯ จะไม่ทำอะไรมากกว่าที่ผ่านมา ดังกล่าวหากนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองอีกครั้งก็ไม่มีประโยชน์ เพราะกว่าศาลจะมีคำพิพากษาก็หมดฤดูกาลมีฝุ่นควันแล้ว


คำพิพากษาคดีนี้ผมไม่อุทธรณ์ เพราะกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาได้สภาพการณ์ของ PM 2.5  ก็เปลี่ยนแปลงแล้ว จากการฟ้องคดีเกี่ยวกับ PM 2.5 ที่ผ่านมา 3 คดี ผมเห็นว่าจำเป็นต้องที่ประเทศไทยต้องมีศาลสิ่งแวดล้อมและเป็นศาลชั้นเดียว เพื่อให้การพิจารณาคดีมีผลทันต่อเหตุการณ์ เพราะปัญหาที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตประชาชน จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขในทันที


ขณะที่ วานนี้ (29 มี.ค.66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่า วันนี้อยากขอร้องอย่าเผาพร้อมกัน เพราะจะทำให้เกิดฝุ่นควันจำนวนมาก ซึ่งหน่วยงานภาครัฐได้ขอความร่วมมือไปยังเกษตรกรแล้ว แต่มีบางส่วนที่ยังไม่ให้ความร่วมมือ ตนไม่โทษใคร เพราะการจะแก้ปัญหาได้ต้องแก้ที่ความคิดของคน และต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน


ส่วนปัญหาฝุ่นควันที่เกิดจากไฟป่า จะเกิดขึ้นเป็นจุด ๆ เท่านั้น และไม่ได้เกิดจากความร้อนที่จะทำให้ไฟสามารถลุกไหม้ขึ้นเองได้ แต่เกิดจากคนที่เข้าไปในป่า ทั้งหาของป่าและล่าสัตว์ เมื่อเข้าไปก็อาจจะทิ้งบุหรี่ที่ยังไม่ดับ จนทำให้เกิดไฟไหม้ นี่คือสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดไฟป่า


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนปัญหาฝุ่นจากยานพาหนะ ในช่วงนี้อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราก็มีแผนอยู่แล้วว่าในปี 2030 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 30% แต่ทุกอย่างต้องใช้ระยะเวลาไม่ใช่สั่งวันนี้แล้วจะดำเนินการได้ในทันที ขณะที่ปัญหาการจราจรติดขัด ก็ยังมีรถที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเกินมาตรฐาน จึงได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการตรวจสอบ และให้หยุดวิ่ง


ขณะที่ปัญหาฝุ่นที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็ได้มีการหารือมาโดยตลอด แต่ทุกประเทศก็มีปัญหาภายในประเทศเช่นเดียวกัน ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เป็นเอกภาพ ทำได้ค่อนข้างยาก ซึ่งได้ให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือขอความร่วมมือไปหลายครั้งแล้ว ก็ได้มีการรับปากว่าจะร่วมมือกัน แต่ก็ยังทำได้ไม่มากนัก


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ตั้งแต่ต้นทาง กลางทางและปลายทาง แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือหรือไม่


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/BCjraEKmftk

คุณอาจสนใจ

Related News