เลือกตั้งและการเมือง

'อดีต ผบ.ตร.' ยันไม่ใช่ อดีตบิ๊กตำรวจ ส. ที่ 'โรม' แฉ แจงไม่ได้ช่วย 'ส.ว.ทรงเอ'

โดย nattachat_c

14 มี.ค. 2566

59 views

วานนี้ (13 มี.ค. 66) นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณี ที่มีการเผยแพร่หนังสือชี้แจงของตำรวจ สน.พญาไท เกี่ยวกับการร้องขอออกหมายจับ นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา กรณีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และการเพิกถอนหมายจับ


โดยนายสรวิศ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (13 มี.ค. 66) ประธานศาลฎีกาได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานสดับตรับฟังข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว ให้ทำการรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง / มีบุคคลใดเกี่ยวข้องบ้าง / และเห็นสมควรให้ดำเนินการอย่างไรต่อไปหรือไม่


โดยจะยังไม่ได้เจาะจงกับบุคคลใด แต่จะเป็นการสรุปข้อมูลโดยรวมทั้งหมดเพื่อนำไปพิจารณาต่อ โดยให้คณะทำงานรายงานผลการสดับตรับฟังข้อเท็จจริงกลับไปยังประธานศาลฎีกา มีกรอบระยะเวลาภายใน 30 วัน

-------------

วานนี้ (13 มี.ค. 66) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลพร้อมด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ นำป้ายข้อมูลมาแสดงพร้อมแถลงต่อสื่อมวลชน กรณีการติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดี ของ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ทรงเอ


เนื่องจากสำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 3 ดำเนินคดีของ 'ทุน มินลัด' ที่ปรากฎข้อมูลชื่อสว.รายดังกล่าวเข้าไปพัวพันจนนำไปสู่การออกหมายจับ 2 ข้อหาคือ สมคบกันเกี่ยวกับยาเสพติดฯ และฟอกเงินคดีนอกราชอาณาจักร และพบว่ามีการถอนหมายจับเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 และต่อมาพบว่า ถูกถอนหมายจับ


นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ที่ตั้งใจจะมาที่กองบัญชาการปส. ไม่ได้มาเพื่อยื่นหนังสือ หรือมาร้องเรียนการทำงานของตำรวจ แต่ต้องการชี้แจงเพื่อต้องการคำตอบว่าเหตุใดการทำคดีของสว.รายนี้มีความล่าช้า


เนื่องจากมีการถอนหมายจับไปเป็นเวลากว่า 162 วัน แล้วก็เงียบ ตนเข้าใจว่าช่วงประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่สามารถออกหมายเรียกได้ แต่หลังประชุมเสร็จ กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่หมายเรียกที่เป็นขั้นพื้นฐานของตำรวจในการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ


ส่วนตัวมองว่ากระบวนการของคดีนี้อาจมีการแทรกแซงหรือช่วยเหลือโดยตนได้ข้อมูลว่า มีคนอยู่เบื้องหลังการช่วยเหลือจาก อดีตตำรวจ ตำแหน่งสูงสุด ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อักษรย่อ ส เกษียณราชการไปแล้ว ตำรวจรายนี้พยายามช่วยเหลือให้คำแนะนำเรื่องรูปคดี


เนื่องจากโทษของพฤติการณ์ดังกล่าวสูงถึงขั้นประหารชีวิต เพราะผู้ถูกกล่าวหามีตำแหน่งหน้าที่สมาชิกวุฒิสภามีโทษสูงกว่าประชาชน 2-3 เท่า แต่กลับโดนถอนหมายจับ ส่วนคนอื่นๆ ในคดีกลับถูกดำเนินคดี ทั้งๆ ที่ใช้สำนวนเดียวกัน


นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ก่อนมาที่นี่ตนได้ไปยื่นหนังสือถึงพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และมีหนังสือตอบกลับมาให้กับตนเป็นลายเซ็นของผบ.ตร.แล้ว


"ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นคนดี แต่คนดีที่ไม่ทำอะไร ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายมันก็จะไม่ต่างกันกับคนไม่ดี เพราะวันนี้ ท่านต้องปัดกวาดบ้านของท่าน ท่านอาจจะอยู่ในราชการไม่นานเพราะต้องเกษียณเร็วๆ นี้


ดังนั้น ท่านต้องใช้โอกาสนี้ในการปัดกวาดบ้านของท่านให้สะอาด การช่วยกันหรือระบบอุปถัมภ์ต่างๆ ต้องจัดการได้แล้ว ไม่งั้นกระบวนการยุติธรรมจะถูกเชื่อมั่นจากประชาชนได้อย่างไร.."


นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้มองว่าการทำหน้าที่ของตำรวจมีความบกพร่องในคดีทุนมินลัดซึ่งเป็นสำนวนคดีแรกที่ตำรวจปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง แล้ว


“แต่สงสัยว่าทำไมถึงมีการถอนหมายจับชั้นตุลาการ ในส่วนนี้อาจมีการแทรกแซงของพนักงานสอบสวนหรือไม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ตนเคยยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมแล้ว”


ส่วนสำนวนคดีที่ 2 ขณะนี้ที่อยู่กับ บช.ปส. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบออกหมายเรียกหรือหมายจับ พบว่าติดขัด ทั้งที่หลักฐานอยู่ในสำนวนคดีแรกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องเส้นทางการเงินจากบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด มีความเชื่อมโยงไปยัง สว. รายนี้ แต่กลับมีการอ้างว่าต้องแปลภาษาต่างประเทศจากบทสนทนาระหว่างผู้ต้องหา กับผู้ถูกกล่าวหาจำนวนมาก คดีจึงไม่มีความคืบหน้า


นายรังสิมันต์ ยอมรับว่า “ติดใจกับการดำเนินการของ บช.ปส.อย่างเลี่ยงไม่ได้”


ในกรณีที่ตำรวจชุดจับกุมคดี ทุนมินลัด ถูกโยกย้ายจนทำให้คดีไม่มีความคืบหน้า เพราะต้องเสียตำรวจน้ำดีไปปฏิบัติราชการพื้นที่อื่น


ซึ่งการจะโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ก็มีคณะกรรมการ กตร.โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นคนดูแล และ มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด


ทั้งนี้ สัปดาห์หน้า ตนจะเดินทางไปยื่นเรื่องที่ คณะกรรมการป้องกันและปปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เอาผิดตุลาการทั้ง 3 ท่าน เพราะไม่เข้าใจเหตุผล ว่าทำไมช่วงเช้าออกหมายจับ ต่อมาถอนหมายจับ ด้วยเหตุผลอ้างว่าเป็นบุคคลสำคัญ ซึ่งตามกฎหมายไม่มี


นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ได้นำป้าย แฉข้อมูลรายละะอียด มาเปิดให้สื่อมวลชนดู เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีทุนมินลัด สว.ทรงเอ ประกอบด้วย ขบวนการค้ายา ฟอกเงินข้ามชายแดนไทยเมียนมาร์ และการทำธุรกิจชายแดนที่ทำผ่าน สว. และมีการไฟฟ้า PEA เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย


แต่ป้ายที่สะดุดตาที่สุด คือ สว.ที่ถูกกล่าวหาและมีโฉนดที่ดินที่ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ และมีภาพชายสูงวัยใส่แว่นดำ ซึ่งภาพนี้ คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี


นายรังสิมันต์ ยอมรับว่า ใครดูก็รู้ว่าชายสูงวัยที่ใส่แว่น คือใคร ก็อยากให้นายกรัฐมนตรีออกมาชี้แจงเรื่องนี้เช่นกันว่าเกี่ยวข้องอย่างไร


เมื่อถามเรื่องความกลัว นายรังสิมันต์บอกว่า ส่วนตัวขณะนี้ ที่อายุ 30 ปี รู้สึกกลัวที่จะถูกฟ้องกลับหลังออกมาเปิดเผยข้อมูลต่างๆ แต่ในวันนี้ตนในฐานะผู้แทนประชาชนอยู่ในหน้าที่ ที่จะต้องตรวจสอบเอาเรื่องพวกนี้มาเปิดเผย เพราะถ้าไม่นำมาเปิดเผยสังคมจะไม่รับรู้


“ตนขอพูดกับตำรวจทุกท่านถ้าปิดบังช่วยกันล้มคดีพวกท่านก็ไม่ต่างอะไรกับคนชั่ว คนที่ค้ายา”


ส่วนที่มาเปิดเผยตอนนี้ ไม่ใช่การดิสเครดิตใครหรือเพราะช่วงเลือกตั้ง แต่เพราะข้อมูลทั้งหมดพร้อมตอนนี้หากมองว่าเป็นการดิสเครดิต ก็ขอให้ออกมาตอบโต้ให้ข้อมูลว่าของตนส่วนไหนไม่ถูกต้องบ้าง ถ้ามีสัญญาเช่าอาคาร สำนักงานก็ให้แสดง เปิดเผยให้สังคมรับรู้

-------------

ทีมข่าว สอบถาม พลตำรวจเอกสุวัฒน์  แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตนเองไม่ได้รู้จักกับนายอุปกิต เป็นส่วนตัว จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือทางคดีให้กับใคร ที่ผ่านมาเคยเจอนายอุปกิตที่รัฐสภา 1-2 หนึ่งครั้งเท่านั้น และไม่ได้เป็นคนโทรหาพนักงานสอบสวนตอนที่ไปยื่นเอกสารขอหมายจับ ตามกระแสข่าวระบุ  


ซึ่งนอกจากเรื่องการถอนหมายจับแล้ว ยังพบว่านายอุปกิตได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์  แล้วมีการระบุชื่อตนเป็นพยาน


“รู้สึกตกใจที่รู้ว่าตัวเองมีรายชื่อเป็นพยานให้กับ นายอุปกิต ที่ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทนายอัจฉริยะ  เพราะไม่เคยได้รับการประสานมาจากนายอุปกิต หรือทีมทนายความ ยอมรับ ไม่พอใจที่ถูกลากเข้าไปเป็นพยานในคดีความขัดแย้งของคนสองคน ทั้งที่ตนเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”


“และไม่โง่พอที่จะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะนอกจากคดีหมิ่นประมาทแล้วอย่างเกี่ยวเนื่องกับเรื่องคดียาเสพติดด้วย  ฉะนั้นจะไม่เป็นพยานให้กับใคร”


ทั้งนี้มีรายงานว่า การที่มีชื่อของพลตำรวจเอกสุวัฒน์ เข้าไปเกี่ยวข้องนั้น เนื่องจาก มีคลิปการไลฟ์สดของนายอัจฉริยะบางช่วงปรากฏภาพของพลตำรวจเอกสุวัฒน์อยู่ด้วย  


ทางทนายความนายอุปกิต จึงต้องการให้พลตำรวจเอกสุวัฒน์ได้เบิกความ ข้อเท็จจริง พฤติกรรมของนายอัจฉริยะ ต่อศาล โดยทางทีมทนายความของนายอุปกิต มองว่า ประโยชน์ต่อตัวของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ที่ถูกกล่าวพาดพิงด้วย ทีมกฎหมายจึงได้บรรจุชื่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ไว้ในบัญชีพยาน โดยที่ยังไม่ได้แจ้งให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ทราบ


ซึ่งตามกฎหมาย หากพยานไม่ประสงค์จะขึ้นเบิกความ ก็สามารถถอนรายชื่อออกไปจากบัญชีพยานได้

-------------

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/F6nedOXKIGk

คุณอาจสนใจ

Related News