‘อนุทิน’ ชี้ ควรแบ่งโควตารมต.ให้จบ ก่อนโหวตนายกฯ เชื่อโหวตไม่เกินสัปดาห์หน้า

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ถึงการพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยเรื่องการแบ่งโควตารัฐมนตรีให้จบก่อนโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า มีการพูดมาตลอด แต่การคุยในรายละเอียดคาดว่าจะมีขึ้นใน 1-2 วันนี้ ตอนนี้ได้ประสานนัดหมายมาแล้ว เบื้องต้นพอทราบแล้วว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้โควตากี่ตำแหน่ง แต่ยังไม่ได้แบ่งว่าจะได้กระทรวงใด

เมื่อถามย้ำว่าควรพูดคุยเรื่องแบ่งจะส่งให้จบก่อนโหวตนายกฯใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ทุกฝ่ายต้องออกไปในแนวทางนั้นไม่ใช่หรือ ส่วนใครจะคุมกระทรวงด้านใดต้องไปคุยกัน หากมาพูดเวลานี้จะกลายเป็นการกดดันซึ่งกันและกัน ตอนนี้กดดันกันไม่ได้ ควรใช้วิธีหารือหาข้อตกลงร่วมกันให้เป็นที่พอใจทุกฝ่าย

เมื่อถามถึงกระแสข่าว พรรคภูมิใจไทย จะรับผิดชอบกระทรวงด้านสังคม นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยอะไรตรงนั้น แล้วกระแสมาจากไหน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจอะไร และทราบว่าควรจะคุยในลักษณะไหนในบริบทที่เรามีในปัจจุบัน โดยต้องคุยในเชิงสร้างสรรค์ ส่วนเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี เดี๋ยวค่อยว่ากัน เพราะยังไม่รู้จะมาร่วมรัฐบาลกี่พรรค และพรรคภูมิใจไทย เป็นลำดับที่ 2 ในการร่วมรัฐบาล และต้องดูว่าไปร่วมทำงานตรงไหนแล้วเกิดประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์มากที่สุดต่อบ้านเมือง

เมื่อถามว่ามองกระแส ข่าวที่พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการให้รัฐมนตรีคนเดิมกลับมานั่งกระทรวงเดิม นายอนุทิน กล่าวย้อนว่า ใครเป็นคนพูด เมื่อเป็นแค่กระแสข่าวอย่าเพิ่งสนใจ แต่คนที่ตนไปเจรจาด้วย มีแค่นพ. ชลน่าน ศรีแก้วหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ถ้าไปฟังคนนั้นพูดทีคนนี้พูดทีคงไม่ได้ เมื่อมีช่องทางพูดคุยก็ต้องคุยเฉพาะช่องทางนั้น

เมื่อถามว่ารัฐสภา ได้แจ้งกำหนดนัดวันประชุมหรือยัง นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้แจ้ง ต้องรอดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่16 ส.ค.นี้ก่อน ว่าจะรับหรือไม่รับคำร้องอะไรหรือไม่ ต้องรอดูให้ชัดเจน ตนเชื่อว่าคงมีการโหวตนายกฯได้ไม่เกินสัปดาห์หน้า

เมื่อถามถึงกระแสข่าวสัดส่วนโควตารัฐมนตรี 9 สส. ต่อ 1 โดยพรรคภูมิใจไทย จะได้ 4 รมว.4 รมช. นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างต้องเอามาคำนวณ เริ่มจากจำนวนสส.ฝ่ายรัฐบาล และมาคำนวณ สส.ของแต่ละพรรค และโควตากลางจะมีหรือไม่และแต่ละพรรคจะยอมหรือไม่ จึงนำมาคำนวณและมาเจรจากัน