เลือกตั้งและการเมือง
‘สันธนะ’ ฟันธง ‘พิธา’ ชวดนายกฯ ให้ถ้อยคำ กกต.สอบปมปล่อย ‘ชูวิทย์’ ทำร้าย-ช่วยหาเสียง
โดย nicharee_m
28 มิ.ย. 2566
186 views
‘สันธนะ’ ฟันธง ‘พิธา’ ชวดนายกฯ ให้ถ้อยคำ กกต.สอบ ‘ก้าวไกล’ ปล่อย ‘ชูวิทย์’ ทำร้าย-ช่วยหาเสียง ทั้งที่ไม่เป็นสมาชิกพรรค ส่อผิดกฎหมายเลือกตั้ง
วันที่ 28 มิ.ย.66 เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสันธนะ ประยูรรัตน์ สมาชิกพรรคก้าวไกล เข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต.ตามหนังสือเชิญจากกรณีเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ยื่นร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและคณะกรรมการบริหารพรรคฯ ที่ปล่อยให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคหรือผู้ช่วยหาเสียงของพรรค เข้ามาทำร้ายร่างกายตนเองขณะอยู่ในที่ทำการพรรคทั้งที่ตนเองเป็นสมาชิกพรรค และให้นายชูวิทย์ ร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงโจมตีพรรคการเมืองอื่น ซึ่งอาจเป็นเหตุทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมและขัดมาตรา 22 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
โดยนายสันธนะ กล่าวว่า เมื่อจะมีการเลือกตั้งตนอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลง จึงมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ซึ่งอย่างที่สังคมรับทราบว่าตนกับนายชูวิทย์ มีปัญหาส่วนตัวกัน แต่ก่อนการเลือกตั้งนายชูวิทย์ ได้เข้าไปที่พรรคก้าวไกลพูดคุยกับนายพิธา และกรรมการบริหารพรรคหลายครั้ง ซึ่งเมื่อพบเจอตนก็จะเปิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน
โดยนายชูวิทย์ พยายามที่จะเข้าทำร้ายตนและขว้างถ้วยกาแฟใส่ ซึ่งตนก็ได้ทำหนังสือถึงหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 29 พ.ค.66 ตามที่ข้อบังคับพรรคกำหนดไว้เพื่อให้มีการดำเนินการเอาผิดกับนายชูวิทย์ และกรรมการบริหารพรรคบางคนที่รู้เห็นนัดแนะกับนายชูวิทย์ ก่อนที่จะเดินทางมา แต่ปรากฏว่าทางพรรคไม่ได้ดำเนินการใดๆ
ขณะเดียวกันก็ยังพบว่าก่อนการเลือกตั้งนายชูวิทย์ มีการนัดพบกับนายพิธา เพื่อช่วยหาเสียงในหลายสถานที่ โดยนายชูวิทย์ ได้อาศัยกระแสของพรรคก้าวไกล กล่าวปราศรัยโจมตีพรรคการเมืองอื่นในเรื่องของการร่วมรัฐบาล ซึ่งตนได้มีหนังสือสอบถามมายัง กกต.และได้รับการยืนยันว่านายชูวิทย์ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล จึงเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง
“ส่วนตัวเชื่อว่านายพิธา ทราบดีว่านายชูวิทย์ เป็นบุคคลภายนอก ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรค แต่กลับปล่อยปละละเลยหรือสมยอมให้นายชูวิทย์ มาใช้พื้นที่ ใช้ชื่อพรรคก้าวไกลไปปราศรัยโจมตีทำให้พรรคการเมืองอื่นเสียหาย จึงเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ยุ่งยากเป็นความปรากฏต่อสังคมและสื่อ
ดังนั้น กกต.จึงไม่ต้องไปตรวจสอบหรือรอหลักฐานอื่นๆ เหมือนกรณีนายพิธา ถือหุ้นไอทีวี หรือค้ำประกันหนี้ให้บริษัทครอบครัวกว่า 400 ล้านบาท ขายที่ดินมรดก 6.5 ล้าน ที่ต้องสอบสวนข้อเท็จจริงจนกว่าความจริงจะปรากฎ” นายสันธนะ กล่าว
นายสันธนะ ยังกล่าวอีกว่า ตอนที่เกิดเรื่องแรกๆและพรรคไม่ได้ดำเนินการให้ตามที่ยื่นหนังสือก็รู้สึกน้อยใจ แต่ก็จะไม่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และเมื่อพรรคทราบว่า กกต.เรียกตนเข้าให้ถ้อยคำในเรื่องนี้ก็มีผู้แจ้งตนว่าในช่วงบ่ายนี้พรรคก็จะมีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งตนไม่เชื่อว่าพรรคจะมีมติดำเนินการกับนายชูวิทย์ แต่จะเป็นการไล่ตนออกจากการเป็นสมาชิกพรรค
“ถ้าพรรคก้าวไกลมองเรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน และก่อนหน้านี้มีการดำเนินการตามที่ผมได้ยื่นหนังสือ ก็คงไม่มีวันนี้ที่ผมมาให้ถ้อยคำกับกกต. ผมเคยบอกคุณแล้วว่าอย่าเดินสะดุดยอดหญ้าหกล้มเอง คุณอาจมองเรื่องนี้เป็นเรื่องรูเข็ม แต่หลังจากวันนี้จะเป็นหลุมอุกกาบาต คุณจะแก้ไขอย่างไร นี่เป็นอีกบทเรียนหนึ่งของคนที่จะก้าวเป็นนายกฯของประเทศ ไม่ใช่หัวหน้าพรรคก้าวไกล คุณจะพลาดไม่ได้สักประเด็น และถ้าเรื่องนี้มีผลให้คุณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ขอแสดงความเสียใจกับกองเชียร์ของพรรคด้วย” นายสันธนะ กล่าว และว่าพรรคก้าวไกลประกาศว่าเป็นพรรคของประชาชน หากได้เป็นรัฐบาลก็จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ถามว่าตนเป็นสมาชิกพรรคเหตุเกิดในพื้นที่ของพรรคแต่พรรคกลับปกป้องไม่ได้
นายสันธนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การร้องเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการสร้างราคาให้กับตัวเอง หลังเกิดเรื่องตนไปที่พรรคตนขีดเส้นตัวเองว่าจบกันแล้วกับพรรค เมื่อก่อนเลือกตั้งคุยอะไรกับผม แต่หลังเลือกตั้งพอคิดว่าตัวเองกำอะไรไว้ในมือเหมือนอย่างทุกวันนี้ คุณคิดว่าคุณถือไพ่ดี คนอื่นเขาก็มีของดีไม่แพ้พวกคุณเดี๋ยวก็เห็นเองว่าเป็นอย่างไร แล้วทำไมตนถึงบอกว่า “คุณพิธา คุณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน”
นายสันธนะ กล่าวถึงกรณีที่มติพรรคเพื่อไทยเดินหน้าต่อรองขอตำแหน่งเก้าอี้ประธานสภาจากพรรคก้าวไกล ซึ่งตามกำหนดแล้วจะมีการประชุมในวันนี้ แต่พรรคก้าวไกลขอเลื่อนการประชุมออกไปไม่มีกำหนดจะเป็นสาเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่าวันนี้ทั้ง 2 พรรคก็แตกแล้ว โดยสิ่งที่จะเห็นในวันโหวตประธานสภา ในทางลับนั่นคือคำตอบซึ่งมาจากวันนี้ที่เกิดจากรอยร้าวแล้ว ส่วนตัวมองว่าเขาพรรคเพื่อไทย ก็มีวุฒิภาวะมากกว่า
ส่วนกรณีพรรคก้าวไกลที่ประกาศเสนอชื่อนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก ในฐานะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เป็นประธานสภานั้น นายสันธนะ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่ตั้งแต่แรก เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญทั้งในรัฐสภาและระดับประเทศ จึงเกิดคำถามตามมาว่าพรรคก้าวไกลจะเล่นอะไรกับประเทศชาติ
ซึ่งตนไม่ได้รู้จักกับนายปดิพัทธ์ ที่ถูกเสนอชื่อ แต่ได้ดูโปรไฟล์แล้ว ก็ต้องขอพูดตรงๆ ว่ามืด เพราะคนจะมาอยู่ในตำแหน่งประธานสภา หากนำเสนอใครหรือเอ่ยชื่อมาจะต้องไม่มีข้อครหาและต้องเป็นมีวุฒิภาวะ ไม่ว่าจะถูกนำเสนอมาจากพรรคไหนก็ตาม ส่วนตัวไม่ได้ดูถูกเขาแต่มองว่า นายปดิพัทธ์ ยังไม่เหมาะสมนั่งบัลลังก์ประธานสภา เหมาะสมเพียงตำแหน่งเลขานุการประธานสภาเท่านั้น จึงอยากให้กลับไปทบทวนใหม่อีกครั้ง