รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประณาม ‘เค ร้อยล้าน’ บุกล็อกคอ ‘ธนาธร’ คางานหนังสือ

รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประณาม เค ร้อยล้าน หลังบุกล็อกคอธนาธรคางานหนังสือ หวั่นเกิดการลอกเลียนแบบ ชี้หากเปรียบเทียบกับศึกศักดิ์-ศรี ร้ายแรงกว่ามาก เพราะไม่ได้เป็นเรื่องตัวบุคคล แต่เป็นการสร้างสถานการณ์ หวังเป็นกรณีศึกษาให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยงานเอกเปก

วันนี้ (24 ต.ค. 2565) นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ถูกนายคเณศพิศณุเทพ จักรภพมหาเดชา หรือ เค ร้อยล้าน บุกทำร้ายร่างกาย ขณะพบปะนักอ่านในบูธหนังสือมูลนิธิคณะก้าวหน้า งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวานนี้ (23 ต.ค.65)

นายพิจารณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คิดว่าน่าจะเกิดจากความไม่พอใจของนายเคต่อนายธนาธร ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ได้เห็นแล้ว ต้องประณามการกระทำของนายเคในครั้งนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมที่สร้างความตระหนกตกใจให้กับพี่น้องประชาชนที่อยู่ภายใน ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

“คือถ้าเราเปรียบเทียบเรื่องนี้กับกรณีก่อนหน้านี้ของลุงศักดิ์ที่พยายามเตะต่อยคุณศรีสุวรรณในขณะที่แถลงข่าวอยู่ เปรียบเทียบ 2 เรื่องนี้ แน่นอนผมก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะกับการใช้ความรุนแรง แต่ผมคิดว่าในกรณีอย่างของคุณเค เป็นกรณีที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง และเป็นห่วงว่าจะเกิดการลอกเลียนแบบขึ้นในอนาคต คือมันไม่ใช่เรื่องของการทำร้ายที่ตัวบุคคลแต่มันเป็นการพยายามที่จะสร้างสถานการณ์” รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าว

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า หากประชาชนวิ่งหลบหนีกัน แล้วมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จะเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง เชื่อว่าทุกคนเสียใจและไม่อยากให้เกิดขึ้น มองว่าหากเราดูกรณีนี้เปรียบเทียบกับต่างประเทศ ก็มีให้เห็นบ้างที่ผู้นำบางประเทศถูกต่อต้าน โดยการปารองเท้าใส่ หรือตบหน้า ก็เป็นที่ตัวบุคคล แต่กรณีนี้ร้ายแรงกว่านั้น ยังไม่เข้าใจว่านายเคทำแบบนั้นเพื่ออะไร

ส่วนเรื่องอาการป่วยทางจิต นายพิจารณ์ มองว่า ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือเชี่ยวชาญทางด้านนี้ตรวจสอบ เขาไม่มีความเห็นในส่วนนี้ แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือ กรณีลักษณะนี้ มีงานวิจัยรองรับว่าการใช้ความรุนแรง และประชาชนรับรู้ในวงกว้าง มีผลทำให้เกิดการลอกเลียนแบบ เกิดการกระทำซ้ำได้สูง

นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นสถานที่จัดประชุมเอเปกที่กำลังจะถึง ประเด็นนี้น่าสนใจ เชื่อว่าคงจะเป็นบทเรียน และกรณีศึกษาให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่อไป