นักวิชาการห่วงบรรทัดฐานศาลรธน. หลังวินิจฉัยคดี 'เศรษฐา' หวั่นเป็นเครื่องมือการเมืองระยะยาว

สำหรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน ซึ่งเคยมีคำพิพากษาในคดีละเมิดอำนาจศาล ซึ่งแม้จะมีการยอมรับในคำวินิจฉัยของศาล แต่ผลของการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้นักกฎหมายและนักรัฐศาสตร์ ห่วงถึงบรรทัดฐานในการทำหน้าที่องค์กรอิสระ



ในขณะที่นายพิชิต ชื่นบาน ซึ่งศาลไม่ได้รับคำร้องไว้วินิจฉัย แต่ในฐานะผู้เกี่ยวข้องและเป็นเหตุให้นายเศรษฐา มีความผิด ได้นำเอกสาร 28 หน้าที่ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญมายืนยันว่านายพิชิต ไม่ใช่ตัวการร่วมในคดีถุงขนม 2 ล้านบาท



นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเอกสาร 28 หน้าที่ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านทางเฟซบุ๊ก เพื่อยืนยันว่าได้แจ้งข้อเท็จจริงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานใหม่ ที่ผ่านการพิสูจน์ความจริงในเวลาต่อมาว่านายพิชิตไม่ได้เป็นตัวการร่วมคิด ร่วมทำ ในคดีถุงเงินในศาล จนเป็นเหตุให้นายพิชิต ต้องคำพิพากษาละเมิดอำนาจศาล ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง และพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ตามความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องของพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ตามความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องของพนักงานสอบสวน และเมื่อคดีเสร็จสิ้น นายพิชิต ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด เรื่องจึงไม่ถึงอัยการสูงสุด ซึ่งในมุมมองของนักวิชาการเห็นว่าการพิจารณาข้อเท็จจริงของศาลรัฐธรรมนูญ ยังขาดในหลายประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องที่ไม่ได้นำมาวินิจฉัย ที่ทำให้ผู้ถูกกล่าวหารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อเทียบกับโทษที่ร้ายแรงในการพ้นจากตำแหน่ง



รศ.ยุทธพร ยังเป็นห่วงว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานในการยื่นร้องนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรี เรื่องการขาดคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม ที่ไม่ต่างจากการตัดสิทธิทางการเมือง ที่จะกลายเป็นมาตรฐานทางหลักนิติธรรมได้



คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน แม้จบสิ้นไปแล้ว แต่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และทำให้คาดหวังต่อกระบวนการไต่สวนที่เปิดเผยและการนำพยานหลักฐานราชการ แต่กลายเป็นการเน้นหลักวิญญูชน ที่ทำให้มาตรฐานจริยธรรมเป็นนามธรรม และอาจถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในระยะยาวได้