เลือกตั้งและการเมือง
ย้อนฟังคำวินิจฉัยศาลรธน. มีมติ 5 ต่อ 4 ให้ 'เศรษฐา' พ้นนายกฯ
14 ส.ค. 2567
16 views
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียงให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง ส่งผลให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นการกระทำ ที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง วงเล็บ 4ประกอบมาตรา 160 วงเล็บ 4 และวงเล็บ 5 หรือไม่
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียง วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และเป็นกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระด้วย
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว รัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่ง ทั้งคณะ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ยังรักษาการณ์ได้ จนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ข้ออ้างของนายเศรษฐา ที่บอกว่ามีภูมิหลังจากการประกอบธุรกิจ มีประสปกาารณ์ทางการเมืองที่จำกัด ไม่มีความรู้ทางนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ จึงไม่อาจวินิจฉัยว่าเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในฝ่ายบริหารทุกการตัดสินใจมีผลกระทบต่อบ้านเมืองจึงต้องมีความรับผิดชอบในทุกการกระทำ ประกอบกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตและความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจต่อสาธารณชนนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดในลักษณะภาวะวิสัย และมีข้อเท็จจริงปรากฏแล้วว่า
นายพิชิต ต้องคำพิพากษาละเมิดอำนาจศาล ในคดีที่เสมียนทนายความที่ทำงานประสานงานให้นายพิชิต นำถุงกระดาษใส่เงินสดมอบให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาโดยที่รู้หรือควรรู้ว่าภายในถุงกระดาษดังกล่าวมีเงินสดอยู่ และนายพิชิต มีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่ามีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าวด้วยในลักษณะเป็นตัวการร่วม ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่สาธารณชนต่างรู้กันโดยทั่วไป และสภาทนายความ ได้ลบชื่อนายพิชิต ออกจากทะเบียนทนายความ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาล ทำให้เสื่อมเสียอำนาจศาลหรือผู้พิพากษา และกระทบต่อความเชื่อมั่นของกระบวนการยุติธรรมไทย
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 5 คน เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลง คือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 4 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ อดีต สว.ซึ่งอยู่ใน สว.40 คนที่เข้าชื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เดินทางไปฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง เห็นว่าคำวินิจฉัยในครั้งนี้เป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องยุติธรรมไม่มี 2 มาตรฐาน จึงไม่ได้รู้สึกผิด ที่ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องแล้ว
ส่วนนายเศรษฐา ไม่ได้มารับฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง แต่มีนายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รับฟังแทน ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าว ไปในทิศทางเดียวกันว่านายเศรษฐา จะไม่พ้นจากตำแหน่ง
แท็กที่เกี่ยวข้อง