เลือกตั้งและการเมือง
'ชูวิทย์' แฉ 'นายกดิจิทัล' ใช้นอมินีซื้อหุ้น 'แสนสิริ' จ่อฟ้อง ยันซื้อขายที่ดินถูกกม.
โดย panwilai_c
15 ส.ค. 2566
84 views
ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทย ได้แถลงอย่างเป็นการทาง ที่จะส่งชื่อนายเศรษฐา รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน แต่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ยังเดินหน้าเปิดเผยข้อมูลที่อ้างว่าเป็น EP 2 ปั่น บวม ตัดตอน โดยระบุว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งได้ตั้งนอมินีขึ้น แล้วให้กู้เงินพันล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินย่านทองหล่อ โดยเปิดโปงว่า คนที่ถือหุ้นบริษัทนอมินี เป็นแม่บ้าน และรปภ. โดยเงินทอนจาก การซื้อที่ดิน 435 ล้านบาท ก็หายไปอย่างมีปริศนา
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดแถลงข่าวที่เรียกว่า ภารกิจแฉเพื่อชาติ ep.2 "ปั่น บวม ตัดตอน" โดยเริ่มจากนำภาพคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง อักษรย่อ ภาษาอังกฤษ K ที่ตั้งอยู่บนที่ดินย่านทองหล่อ มาอธิบายว่าคอนโดมิเนียม K นี้ เริ่มมาจากที่ดินย่านทองหล่อ 12 แปลง มีโฉนด10 ใบ เป็นโฉนดของคอนโด K จำนวน 9 โฉนด ที่ดิน9 แปลงนี้ ถือกรรมสิทธิ์โดยบริษัทที่ตั้งขึ้นจริง ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้น 4 คน คนละ 25% จดจำนองไว้กับธนาคาร 465 ล้านบาท
จากนั้นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 58 บริษัทนอมินีแห่งหนึ่ง ได้ซื้อที่ดินจากบริษัท ที่มีตัวตนนั้นในราคา 565 ล้านบาท เป็นเงินที่มาจากเงินทุนจดทะเบียน 100 ล้าน และเงินที่ต้องปลดจำนอง 465 ล้านบาท โดยนายชูวิทย์อ้างว่า บริษัทนอมินีนี้ เปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น 3 คน คือ นางสาว พ. เป็นแม่บ้าน ถือหุ้น 99.99% เป็นชาวมหาสารคาม ไม่พบประวัติการเสียภาษี นอกจากนี้ ยังมีนาย ส. และนาย พร เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทหนึ่ง อีกคนละ 0.0001% ทั้งคู่เป็นชาวมหาสารคามและร้อยเอ็ด
นายชูวิทย์ ระบุว่าการที่จะซื้อที่ดิน บริษัทต้องไปกู้เงินจากบริษัท อ.อ่าง ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง โดยบริษัท อ.อ่าง ให้กู้ 1 พันล้านบาท นิติกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 58 จากนั้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายนี้ ได้นำเงินของผู้ซื้อหุ้นบริษัท จำนวน 1 พันล้านบาท ไปซื้อบริษัทจากกลุ่มนอมินีอีก ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรมกับกลุ่มผู้ถือหุ้น นายชูวิทย์ ยังตั้งคำถามว่าการกู้เงิน 1พันล้านบาท แต่นำเงินไปซื้อจริง 565 ล้านบาท แล้วส่วนต่าง 435 ล้านบาทหายไปไหน
กระบวนการนี้ นายชูวิทย์เรียกว่าปั่น,บวม และตัดตอน และอธิบายต่อว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สามารถซื้อที่ดินจากบริษัท ที่มีอยู่จริงได้ แต่ใช้วิธีตั้งบริษัทนอมินี เข้ามาซื้อแทนโดยที่ไม่มีหลักทรัพย์ ค้ำประกัน ถือว่าเป็นการตัดตอน ส่วน นางสาว พ. เป็นตัวปั่น ขายที่ดินต่อให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เป็นราคา 1 พันล้านบาท ทำให้ราคาที่ดิน บวมขึ้น เป็น 957.55ล้านบาท โดยสาเหตุที่ไม่ใช่ 1 พันล้าน เพราะขายที่ดิน 9 โฉนด เหลือไว้ 1 โฉนด
นายชูวิทย์อธิบายเพิ่มว่าหลังจากซื้อขายที่ดินแล้ว บริษัทนอมินี ได้เปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากนางสาว พ.พาน เป็น นาย ย.ยักษ์ เมื่อ 24 พฤษภาคม 2560 เพื่อให้สถานะบริษัทถูกทิ้งร้าง หวังจะตัดตอนการ สืบสวนเส้นทางการเงินผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง
นายชูวิทย์ ยังระบุว่านายเศรษฐา เป็นหนึ่งในกรรมการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทลูก และตั้งข้อสังเกตุว่าในวันที่ 11 ก.พ.2558 มีการทำธุรกรรมด้านธุรกิจพร้อมกันถึง 3 รายการ ประกอบด้วย
1.สัญญาหนังสือจำนองที่ดิน บ.นอมินี 465 ล้านบาท
2.สำเนาการเปลี่ยนบัญชีผู้ถือหุ้น เป็นนอมินี 3 คน เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท
3.เอกสารให้กู้เงินของบริษัทลูกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ไปให้บริษัทนอมินี 1 พันล้านบาท จึงตั้งข้อสังเกตว่าโดยปกติแล้วการทำธุรกรรมทางด้านธุรกิจจะไม่เกิดขึ้นแบบนี้ในวันเดียวกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้ว
ช่วงหนึ่งของการแถลงข่าวนายชูวิทย์หยิบเอกสารคำฟ้องที่นายชูวิทย์ ฟ้องนายเศรษฐา และนายวิญญัติ ทนายความ ฐานร่วมกันฟ้องเท็จ หมิ่นประมาท และตามพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ยังระบุว่าการแฉครั้งนี้ จะถึงจุดหมายปลายทางเมื่อนายเศรษฐาไม่ผ่านการโหวตนายกฯ ไม่ว่าในวันที่ 18 ส.ค.หรือ 22 ส.ค. จากนั้นภารกิจแฉเพื่อชาติก็จะจบลงโดยทันที
หลังการแถลงของนายชูวิทย์ไม่นาน บริษัทแสนสิริ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า การซื้อที่ดินทองหล่อถูกต้อง ระบุว่ากรณีที่มีผู้เสนอข้อมูล บิดเบือน พาดพิง บริษัทแสนสิริ จำกัด มหาชน เกี่ยวกับวิธีการ จัดซื้อที่ดินของแสนสิริว่าดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้สาธารณชนเข้าใจคลาดเคลื่อน และบริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียงนั้น ชี้แจงว่า การสรรหาและจัดซื้อที่ดิน ถูกกฎหมาย โปร่งใส ก่อนอนุมัติซื้อที่ดินแต่ละแปลง มีทีมสรรหาที่ดิน ตรวจสอบ ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเชิงมหาภาค การขยายตัวของเมือง และประชากร ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิมาตลอด
แถลงการณ์ยังระบุว่า กรณีที่ดินทองหล่อ บริษัทแสนสิริและบริษัทย่อย กรรมการ และผู้บริหารของบริษัทดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ที่เป็นผู้ขายที่ดินแปลงนี้ โดยแสนสิริ ซื้อที่ดินทองหล่อ ปี2559 ราคา 1 ล้าน 1 แสน บาท ต่อตารางวา ซึ่งแสนสิริระบุว่า เป็นราคาที่เหมาะสมเทียบเคียงกับราคาตลาด และที่อ้างว่า แสนสิริ ซื้อที่ดินราคาแพง ควรจะซื้อ 565 ล้านบาท หรือเท่ากับตารางวาละ 6 แสน 5 หมื่นบาทนั้น เป็นการพูดไม่สมเหตุสมผล เพราะไม่มีเจ้าของที่ดินรายใดในซอยทองหล่อจะขายที่ดินในราคานี้จริง
และการที่บริษัทเอ็น แอนด์ เอ็นฯ ซื้อที่ดินมาเมื่อปี 2551 ย่อมต้องขายโดยมีกำไร คงเป็นไปไม่ได้ ที่จะขายตารางวา ละ 6 แสน 5 หมื่นบาท ซึ่งต่ำกว่าตลาด
นอกจากนี้ ยังระบุว่าบริษัทอาราวรรธน์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของแสนสิริ ไม่เคยให้กู้ยืมเงินแก่ บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็นฯ โดยมีหลักฐานที่อยู่ในสัญญาจำนอง ฉบับกรมที่ดินว่าการจำนอง เป็นไปเพื่อประกันการปฎิบัติตามสัญญาซื้อขาย โดยแถลงการณ์ แสนสิริ ระบุว่าอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้บิดเบือนข้อมูล ทำให้ชื่อเสียงบริษัทเสียหาย
แท็กที่เกี่ยวข้อง ชูวิทย์กมลวิศิษฎ์ ,แฉต่อเนื่อง ,นอมินี ,ถือหุ้น ,แสนสิริ ,เศรษฐาทวีสิน