สรุปข่าว

เรื่องเล่าหน้าหนึ่ง 7 มิ.ย.66 พิธาโอนหุ้นไอทีวีแล้ว-สธ.แจงปมหมอลาออก-จับลุงคลั่งรักเดินตามพยาบาลสาว

โดย thichaphat_d

7 มิ.ย. 2566

62 views

-สาธารณสุขโร่แจง ปม “หมอลาออก” รับปัญหาสะสมมานาน ขาดแคลนแพทย์กว่า 10 ปี กระทรวงได้รับจัดสรรโควตาปีละ 1,800-1,900 คนเท่านั้น ทั้งที่มีความต้องการกว่า 2 พันคน เร่งเดินหน้าดูแลค่าตอบแทน สวัสดิการ และภาระงานให้เหมาะสม สั่งเร่งผลิตแพทย์เพิ่มแก้ปัญหา

-ผู้บังคับการ ปปป. จ่อเรียก 6 ตำรวจทางหลวง เอี่ยวส่วยสติกเกอร์ ช่วยราชการภายใน 1-2 วันนี้ เชื่อมีมากกว่านี้ สั่งขยายผล ตรวจสอบ 50 ด่านชั่งที่ถูกร้องเรียนพัวพันรับส่วย ย้อนหลัง 2 ปี พร้อมนัด วิโรจน์ และสหพันธ์การขนส่งทางบกฯ หารือเพิ่มพรุ่งนี้ช่วงบ่าย

วิโรจน์ เตรียมส่งเบาะแสส่วยให้เพิ่ม ย้ำต้องแก้ปัญหาเชิงระบบ ไม่ใช่แค่ปราบปราม ยันไม่กลัวการคุกคามหลังเปิดโปง มั่นใจประชาชนจะปกป้อง

-ตำรวจบุกจับลุงคลั่งรัก ที่เดินตามผู้ช่วยพยาบาลสาวจาก BTS จนเหยื่อถ่ายคลิปเตือนภัยลงโซเชียล แต่ลุงเกิดคลุ้มคลั่ง จนชาวบ้านต้องช่วยล็อกตัว กรรมการชุมชนแฉ ลุงชอบเดินตามหญิงสาวหน้าตาดี บางทีก็ดึงมือ พอชาวบ้านรวมตัวไล่ ก็อาละวาด ขู่จะเผาบ้าน ญาติเคยรับตัวไปดูแล แต่ไม่นานก็นำมาทิ้งที่เดิม ตำรวจเตรียมนำส่งศรีธัญญารักษาต่อ

-ระทึก! ไล่ล่าโจรชิงทอง 5 บาทกลางห้างดังเมืองนครนายก ซิ่งมอเตอร์ไซค์หนีรถตำรวจกว่า 30 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่เจรจาให้หยุด ก็ไม่ยอม สุดท้ายขี่รถเสียหลักตกข้างทาง ค้นตัวเจอทองของกลางซุกกระเป๋ากางเกง พบผู้ก่อเหตุเพิ่งพ้นโทษคดีวิ่งราวทรัพย์ เพิ่งถูกปล่อยตัวไม่นาน แล้วก่อเหตุซ้ำ

-ซูเปอร์ซอฟพาวเวอร์! “ลิซ่า” นุ่งผ้าไทยเที่ยววัด คนยังแห่ตามรอยพิกัด GPS เยือนวัดดัง เช็กอินมุมเดียวกับที่ลิซ่า ถ่ายรูป พร้อมแห่กิน “ร้านขาวละออ” ตามรอย ชิม 9 เมนูลิซ่าสั่งขึ้นโต๊ะ จนร้านทำแทบไม่ทัน เพจร้านโพสต์ขอบคุณลิซ่าทำเศรษฐกิจอยุธยาคึกคัก ด้านผู้ว่าฯ อุดรธานีขอบคุณกระแส “ลิซ่า” ฟีเวอร์ ทำร้านขายผ้าตลาดนาข่าสุดคึกคัก นักท่องเที่ยวสั่งซื้อผ้าไหมลาย “ขอนาค” จนเกลี้ยงสต๊อก



เรื่องเล่าการเมือง

-เรื่องคดีการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา เมื่อวานนายพิธา โพสต์ให้รายละเอียดและชี้แจงเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เปิดเผยว่ามีการโอนหุ้นซึ่งเป็นมรดกของคุณพ่อให้กับทายาทอื่นไปหมดแล้ว ตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. ยืนยันว่าที่โอนไม่ใช่เพื่อหนีความผิด แต่เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตที่มีความพยายามฟื้นคืนชีพไอทีวีมาเล่นงาน

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงกรณีถือหุ้น ITV อย่างละเอียด โดยขึ้นหัวเรื่องว่า "ผมพร้อมสู้กับความพยายามคืนชีพ ITV เพื่อสกัดกั้นพวกเรา"

โดยร่ายยาว ตั้งแต่วันที่ไอทีวีเลิกออกอากาศ คือ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2550 ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้แจ้งบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอช เอฟ ต่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (ITV) ส่งผลให้สัญญาร่วมงานฯ สิ้นสุดลง เป็นเหตุให้ ITV ไม่สามารถใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ได้นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมา วันที่ 16 มีนาคม 2550 ศาลแต่งตั้งให้นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดกของคุณพ่อ และนายพิธาได้รับมอบหมายจากทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก ให้รับโอนหลักทรัพย์ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ หุ้น ITV อันเป็นกองมรดกถือครองไว้แทนทายาทเรื่อยมา โดยที่หุ้น ITV ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจอีกต่อไป

และต่อมาปี 2557 หุ้น ITV ถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิกถอนหุ้นสามัญออกจากตลาดหลักทรัพย์ อันเป็นผลให้ไม่สามารถซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้อีกต่อไป

นายพิธา ไล่เรียงมาว่า เมื่อเข้ามาทำงานการเมืองในฐานะ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. ในเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

จนการเลือกตั้งล่าสุดนี้ ได้ลงสมัครเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหนึ่งเดียวของพรรคก้าวไกล พรรคได้คะแนนมาสูงกว่า 14 ล้านเสียง

นายพิธา ระบุว่า … เป็นที่ประจักษ์ว่า ITV ไม่ได้เผยแพร่ออกอากาศตั้งแต่ผลของการบอกเลิกสัญญาวันที่ 7 มีนาคม 2550 มีผลใช้บังคับแล้ว แต่ในช่วงเวลาปัจจุบันกลับมีความพยายามฟื้นคืนชีพให้ ITV กลายเป็นสื่อมวลชนเพื่อนำมาใช้เล่นงานผม

จากนั้น นายพิธา ได้ยกข้อมูลตามแบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) ของ ITV ในช่วงปี 2561 จนถึงปีล่าสุดที่ระบุว่ามี "ข้อพิรุธ" มีการเปลี่ยนแปลงข้อความที่ระบุในแบบนำส่งงบการเงิน จากเดิม "กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก" แก้เป็น "สื่อโทรทัศน์" ทั้งๆ ที่ประกอบกิจการไม่ได้ และปีล่าสุดแก้เป็น "สื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุน" ทั้งๆ ที่ในหมายเหตุประกอบงบการเงินระบุรายได้จากดอกเบี้ยและการลงทุนในตราสารหนี้

และในรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ITV เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 มีการตั้งคำถามของผู้ถือหุ้นบางรายว่า "บริษัท ไอทีวี มีการดำเนินการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่" ซึ่งเป็นการตั้งคำถามที่ขอให้ทุกท่านที่มีใจเป็นธรรมพิจารณาว่า เป็นคำถามมีความมุ่งหมายทางการเมืองหรือไม่ และให้ท่านตอบตัวท่านเอง ว่านี่คือพฤติการณ์ความพยายามฟื้นคืนชีพ ITV ให้กลับมาเป็นสื่อมวลชน ใช่หรือไม่?

“ด้วยข้อพิรุธหลายประการที่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้ผมตัดสินใจหารือทายาทที่มอบหมายให้ผมถือครองหุ้น ITV ซึ่งเป็นมรดกของคุณพ่อไว้แทนทายาทอื่น จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ให้ผมจัดการแบ่งมรดกหุ้น ITV ให้แก่ทายาทอื่นไปโดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันปัญหาจากกระบวนการฟื้นคืนชีพความเป็นสื่อมวลชนให้กับบริษัท ITV ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้”

นอกจากนี้ นายพิธา ยังระบุว่า "การต่อสู้คดีนี้ เมื่อพิจารณาตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบคำสั่งศาลฎีกาล่าสุดหลายคดี ...มั่นใจอย่างยิ่งว่า ผมไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง และไม่มีลักษณะต้องห้ามในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด"

"...ผมมั่นใจข้อเท็จจริงในอดีต แต่ข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ผมไม่อาจคาดหมายได้ว่า บริษัท ITV จะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพเป็นสื่อมวลชนอีกครั้งหรือไม่ การโอนหุ้นให้แก่ทายาทอื่นจึงเกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นการโอนหุ้นเพราะหลีกหนีความผิดแต่อย่างใด"

ต่อมา หลังแถลงข่าวการประชุมคณะทำงาน 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทย นายพิธา ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยืนยันว่า ที่โอนหุ้น ไม่ใช่เพื่อหนีความผิด แต่เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตที่มีความพยายามฟื้นคืนชีพไอทีวีขึ้นมา ซึ่งหลายคนก็บอกว่า มีความพยายามสกัดกั้นตน โดยโอนหุ้นไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา



-ขณะที่เมื่อวานนี้ มีความเคลื่อนไหวของ กรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา ได้พิจารณาเรื่องคุณสมบัติการถือหุ้นของคุณพิธา ก็มีความเห็นไปยัง กกต. ขอให้เร่งรัด และหากมีมูล ก็ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก่อนวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

เมื่อวานนี้มีการประชุม คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ประเด็นหลักได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนการถือครองหุ้นไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล

นายเสรี สุวรรณภานนท์ ในฐานะประธานกรรมาธิการชุดนี้ ระบุว่า ที่ประชุมเห็นว่าประเด็นคุณสมบัติของนายพิธา เป็นเรื่องที่ต้องหาข้อยุติชัดเจนโดยเร็ว จึงจะส่งหนังสือแจ้งไปยังกกต. เพื่อให้เร่งรัด ถ้าเห็นว่ามีมูล ก็ขอให้เสนอเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาด ก่อนวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมา

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าว ถามย้ำว่า ในที่ประชุมกรรมาธิการฯ เห็นว่านายพิธาขาดคุณสมบัติแล้วใช่หรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า "ถ้าดูตามหลักฐาน ข้อกฎหมาย และข้อบังคับของพรรคก้าวไกล มีมูลที่จะเห็นได้ว่านายพิธา ขาดคุณสมบัติตั้งแต่สมัครรับเลือกตั้ง และมีผลกับการไปรับรองผู้สมัครส.ส.ของพรรคด้วย

ส่วนกรณีที่นายพิธา โอนหุ้นไปแล้วจะมีผลหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า "ถ้าโอนช่วงนี้ก็ไม่มีผล เพราะการที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกฯได้หรือไม่เริ่มตั้งแต่ตอนที่เสนอชื่อในบัญชีพรรคการเมือง"



-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบคำถามประเด็นการเมือง ก็บอกว่า ไม่เห็นโอกาสจะกลับมานั่ง "นายกรัฐมนตรี" พร้อมประกาศไม่กลัว จะถูกเช็กบิลย้อนหลัง หากเปลี่ยนขั้วรัฐบาล

เมื่อวานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมครม. กรณีมีการพูดถึงแนวทางรัฐบาลข้ามขั้ว ว่า "ไม่ทราบ และไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ส่วนใครจะเป็นรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องของตน”

ส่วนเมื่อถามว่า ในใจยังหวังจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า " ในใจ นอกใจ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เมื่อถามต่อว่าหากมีโอกาส พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ตนยังไม่เห็นโอกาสเลย มันจะไปได้อย่างไร”



และก่อนขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ยังตอบคำถาม ย้ำว่า ไม่กลัวจะถูกเช็กบิลย้อนหลัง หากเปลี่ยนขั้วรัฐบาล

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวานนี้ถูกถามหลายประเด็น โดยเฉพาะกระแสจะเป็นคนฝ่าทางตัน จัดตั้งรัฐบาล หากนายพิธา สะดุดคดีการถือหุ้น รวมถึงการจับมือกับพรรคเพื่อไทย ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ แต่ท่านส่ายหน้า ปฏิเสธตอบทุกคำถาม



-ป.ป.ช. ได้เปิดบัญชีทรัพย์สิน ส.ส.ที่พ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมาอีกส่วนหนึ่ง (ช่วงนี้ ป.ป.ช.ทยอยเปิดมาเรื่อยๆ ) ที่น่าสนใจ คือ บัญชีทรัพย์สินของคุณอนุทิน ซึ่งมีการยื่นบัญชีทรัพย์สินของคู่สมรสมาด้วยเป็นครั้งแรก

โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แจ้งบัญชีทรัพย์สิน กรณีพ้นตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2566 ว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 4,411ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์สินของนายอนุทิน 4,372 ล้าน และคู่สมรส คือ น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ 39 ล้านบาท ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่นายอนุทิน ยื่นทรัพย์สินของคู่สมรสด้วย

ทั้งนี้เมื่อเทียบบัญชีทรัพย์สิน กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. เมื่อปี 2562 พบว่า นายอนุทินมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 123 บาท ส่วนหนี้สินนายอนุทิน แจ้งว่ามีหนี้สินรวมคู่สมรสทั้งสิ้น 15 ล้านบาท / ลดลง จากปี 2562 จำนวน 35.6 ล้านบาท

โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่ของนายอนุทิน เป็น สิทธิและสัมปทาน / เงินฝาก /เงินลงทุน / และ ที่น่าสนใจคือ ยานพาหนะ มีรถยนต์ 2 คัน ยี่ห้อ Rolls-Royce, Porsche / เรือยนต์ 2 ลำ /และเครื่องบิน 3 ลำ ยีห้อ CIRUS SR22T มูลค่า 22.6 ล้านบาท, Embraer Legacy 600 มูลค่า 534.7ล้านบาท, Aircraft TBM 930SOCATA TMB 930 (TMB 700 N) มูลค่า 139.2 ล้านบาท

ขณะที่ทรัพย์สินของคู่สมรส คือ น.ส.ธนนนท์ ส่วนใหญ่เป็น เครื่องประดับและกระเป๋าแบรนด์เนม รวม 23 ล้านบาท / และเงินฝาก 26 บัญชี 11.4 ล้านบาท



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/FlF8pCKuqBY


คุณอาจสนใจ

Related News