นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยในรายการ "เสียงจากใจ ไทยคู่ฟ้า" หลัง ครม.เห็นชอบเรื่องการสัญชาติไทยกับกลุ่มตกสำรวจในไทย โดยต้องอยู่อาศัยในไทยนานกว่า 50 ปี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่อพยพและชาติพันธุ์ ที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ กว่า 3.5 แสนคน อยู่ชายขอบทุกภาค ลงทะเบียนมาแล้วเป็นเวลานาน เข้าขั้นตอนการแปลงสัญชาติแล้ว มีเลขประจำตัว 13 หลัก แต่ไม่ได้รับสัญชาติ โดยกลุ่มนี้กระทรวงมหาดไทยต้องประกาศออกมา โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อรับสัญชาติไทยแล้ว แต่จะไม่มีสิทธิทางการเมือง ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นลูกหลานของกลุ่มแรก ซึ่งรัฐบาลพิสูจน์แล้ว และอยู่ระหว่างทยอยให้สัญชาติไทย กลุ่มนี้เกิดในประเทศไทย ได้สัญชาติไทยโดยกำเนิด แต่หากใช้ขั้นตอนเดิมจะใช้เวลา 44 ปี ถึงจะทำจบ
พร้อมยืนยัน กลุ่มสีเทา จะไม่สามารถขอสัญชาติได้ เพราะมีขั้นตอนการตรวจสอบย้อนประวัติเป็นไปตามเงื่อนไขหรือไม่
นอกจากนี้นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (UNHCR) ชื่นชมแนวทางแก้ปัญหาและยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติของรัฐบาลไทย โดยระบุว่า ถือเป็นก้าวสำคัญของไทยและประวัติศาสตร์ในการลดจำนวนผู้ไร้สัญชาติมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตาม ครม. เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่ได้เห็นชอบตามที่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอในการลดขั้นตอนการให้สัญชาติไทยกับบุคคล
UNHCR ชื่นชมความมุ่งมั่นของความเป็นผู้นำของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาด้านมนุษยธรรม ขจัดภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ ปลดล็อกศักยภาพ เปิดโอกาสทางการศึกษาและการจ้างงาน
นอกจากนี้ ยังยกย่องให้ไทย เป็นผู้นำระดับโลกและระดับภูมิภาคในการขจัดภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง Global Alliance to End Stateless ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่เปิดตัวโดย UNHCR รวมทั้งได้ให้คำมั่นในการประชุม Global Refugee Forum 2023 เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ รวมทั้งยังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันร่วมกับสหประชาชาติในด้านต่างๆ ด้วย
นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรมของไทยยังได้ร่วมกับ UNHCR ได้จัดหน่วยบริการด้านทะเบียนราษฎรเคลื่อนที่ครบวงจร เพื่อแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลและสัญชาติให้กับกลุ่มชาติพันธุ์มอแกน ณ เกาะพยาม จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ประกาศที่จะทำให้” คนไทยทุกคนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี “รวมทั้งมีโอกาสที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเท่าเทียม
“ทั้งนี้รัฐบาลยืนยันว่าการให้สัญชาติไทยนี้ เป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตลอดกว่า 50 ปี และเป็นขั้นตอนที่รัดกุมและปัจจุบันใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเก็บฐานข้อมูลต่างๆ ซึ่งจะทำให้รัฐสามารถตรวจสอบและดูแลรวมทั้งควบคุมกลไก ซึ่งในอดีตที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เนื่องจากเป็นบุคคลที่ไม่มีประวัติทำให้หลายครั้งก่ออาชญากรรม ยาเสพติด หรือเรื่องอื่นๆ รัฐก็ไม่สามารถติดตามจับกุมเนื่องจากไม่มีถิ่นฐานที่อยู่ และรัฐบาลยืนยันว่ากลุ่มคนนอกเหนือจากนี้เช่นกลุ่มคนสีเทาหรือแรงงานต่างด้าวหรือผู้หลบหนีเข้าเมืองทุกประเภทจะไม่มีสิทธิ์ดังกล่าว”