สังคม

ตำรวจออกหมายเรียก ชายต้องสงสัยแล้ว ยืมเงิน-หลอกเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ทำเจ้าอาวาสปลิดชีพ

โดย paranee_s

21 ต.ค. 2567

861 views

กรณีพระครูวรวัฒน์เขมากร เจ้าอาวาสวัดใน จ.พระนครศรีอยุธยา ผูกคอเสียชีวิตในวัดเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2567 หลังถูกชายวัยกลางคน หลอกยืมเงินรวม 650,000 บาท โดยแสร้งสนิทสนมและสร้างความเชื่อถือผ่านการบวชและเป็นเจ้าภาพทอดกฐินที่วัด จนทำให้เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ถึงกับเครียดทำร้ายตัวเองจนมรณภาพ



เบื้องต้นพบว่า บรรยากาศพิธีบำเพ็ญกุศลทางคณะกรรมการของวัดได้ใช้ศาลาการเปรียญทรงไทยหลังใหญ่เป็นสถานที่บำเพ็ญกุศล นอกจากทางวัดเตรียมจัดงานศพท่ามกลางบรรยากาศเศร้าโศกแล้วก็ตาม



โดยมีชาวบ้านในตำบลบ้านกระทุ่ม อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยาที่อยู่รอบวัด แต่ละคนแต่ละครอบครัว มุ่งหน้าเดินทางกันมาช่วยงานบำเพ็ญกุศลให้เจ้าอาวาสกันอย่างไม่เหนื่อย ใครมีเต็นท์ก็นำมาติดตั้งรองรับศิษย์ยานุศิษย์ผู้มาร่วมงาน ครอบครัวใด มีความสามารถในการทำครัวหุงต้มอาหารก็ชวนพากันมาตั้งโรงครัวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เราจะเห็นชาวบ้านแบกหิ้วถืออุปกรณ์ไฟฟ้า หม้อหุงข้าว พัดลมมาจากบ้าน เพื่อมาใช้ ในงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพ ของเจ้าอาวาส เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงคุณงามความดี ของเจ้าอาวาสที่มรณภาพเพราะโจรในคาบของมารศาสนามาคร่าชีวิตของหลวงพ่อที่เขารักไป



ภายในศาลาบรรดาศิษย์ยานุศิษย์และชาวบ้านก็ช่วยกันตกแต่งหน้าเครื่องตั้งศพไว้อย่างสมเกียรติในคุณงามความดี ร่างของเจ้าอาวาสจะเดินทางกลับสู่วัดในเวลาประมาณ 15.00 น. และจะประกอบพิธีถวายน้ำสรงศพในเย็นวันนี้เวลา 16.00 น.



สำหรับครอบครัวของคุณพิเชษฐ์ อายุ 36 ปี เจ้าของเครื่องไฟขยายเสียง ประจำหมู่บ้าน เดินทางมาพร้อมกับคุณพ่อ และลูกชายวัย 6 ขวบ และทีมงานอีกเกือบ 10 คน นำระบบไฟแสงสว่างเครื่องขยายเสียง ติดตั้งให้แสงสว่าง รอบบริเวณงานทั้งหมด จำนวนหลอดไฟไม่ต่ำกว่า 3 ถึง 4,000 ดวง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด




ขณะที่คุณสรพงษ์ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลยุติธรรม พี่ชายเจ้าอาวาส ได้เปิดเผยถึงรูปคดีว่า คดีนี้คนร้ายได้กระทำการสำเร็จแล้ว ตำรวจสามารถตั้งข้อกล่าวหาได้ และข้อหาที่จะตั้งได้ เป็นข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ และมีการฉ้อโกงกับพระกับวัด ด้วย ซึ่งมีอัตราโทษ สูงสุด กรรมละ 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับอยู่ที่การพิจารณาของศาล และในคดีนี้ ผู้กระทำความผิด กระทำการ ต่างกรรมต่างวาระหลายครั้ง อัตราโทษก็จะสูง เป็นเงาตามตัว



อย่างไรก็ตาม อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลยุติธรรม ฝากไปถึงพลตำรวจตรี โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เร่งรัดติดตามคดีจับกุมผู้ก่อเหตุให้ได้ หากปล่อยไว้เป็นอันตรายต่อศาสนา



ด้านช่างควร มือขวา ของพระครูวรวัฒน์ เจ้าอาวาส ช่วยทำงานออกแบบให้กับเจ้าอาวาส และมีความสนิทมานานกว่า 20 ปี บอกว่า บอกว่ารู้จักกับคนร้ายรายนี้เป็นอย่างดี พร้อมกับนำภาพถ่ายมายืนยัน ว่าเป็นบุคคลอันตรายต่อศาสนาต่อพระต่อวัด ทุกครั้งเวลามาพบกับหลวงพ่อจะตีสนิท สร้างความน่าเชื่อถือ อ้างตัวเป็นผู้กว้างขวางรู้จักกับบุคคลมีชื่อเสียงสามารถพามาติดต่อเป็นเจ้าภาพงานบุญงานกุศลงานกฐินได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับหลวงพ่อจนหลวงพ่อเชื่อใจสนิท ยอมโอนเงินให้หลายครั้ง ก่อนมรณภาพ เห็นหลวงพ่อมีอาการเครียด ก็ได้เข้าไปเตือน ก็ไม่คิดว่าหลวงพ่อจะคิดสั้นแบบนี้



ส่วนสื่อมีการนำเสนอว่าหลวงพ่อเล่นแชร์ นั้นเป็นแชร์ แบบชาวบ้านทั่วไป เพื่อนำเงินเปียที่ได้มาดูแลช่วยเหลือชาวบ้านคนยากคนจน และไม่ใช่เงินแชร์ลอตเตอรี่หวังหากำไรแต่อย่างใด



เชื่อว่าชายคนดังกล่าวทำเป็นขบวนมีการวางแผน เข้ามาวัดตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมมาตีสนิท และมีการนำคนมาบวชพระ ที่วัด เป็นเวลา 10 กว่าวันและเข้ามา วัดอีกหลายครั้ง เพื่อสร้างความเชื่อถือให้หลวงพ่อ และขอเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน รู้จักเจ้าของกิจการใหญ่ จะมาร่วมทำบุญจำนวนมาก



หลังจากนั้นได้ขอยืมเงินหลวงพ่อหลายครั้งครั้งละ 10,000-20,000 บาทแต่ก็ใช้คืน หลอกให้หลวงพ่อตายใจ แล้วเริ่มยืมเงินอีกคราวนี้ยืมเงินเป็นก้อนใหญ่ จนถึงเป็นหนี้ก้อนใหญ่จำนวนเงิน 650,000 บาท หลัง และฝากบอกไปถึงคนร้าย หากหนีรอดพ้นคดีไปได้ ด้วยวิธีใดก็ตาม กรรมจะตามสนองติดตัวไปอย่างไรก็หนีไม่พ้นกรรมโดยเฉพาะกรรมที่ทำกับพระทำกับวัดทำกับศาสนา ไปฟังเสียงช่างสมควร



ส่วนวิธีทอดกฐินของวัดโบสถ์ยังคงเป็นไปตามกำหนดเดิม 27 ตุลาคม จะมีการประชุมร่วมกับกรรมการวัด และชาวบ้าน ว่าจะนำเงินใช้ให้กับ ญาติโยมที่หลวงพ่อยืมไป โดยเป็นความตั้งใจของหลวงพ่อ ตอนยังมีชีวิตอยู่ ที่ บอกกับลูกศิษย์คนสนิทไว้ว่า หลวงพ่อจะหาเงินมาใช้ให้ญาติโยมที่ยืมมาทุกบาททุกสตางค์



ทางกรรมการจึงเห็นสมควรทำตามที่หลวงพ่อนั้นพูดไว้ แต่ต้องดูกฎระเบียบ ตามข้อกฎหมาย ของวัดว่าสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้หนี้ให้กับญาติโยมได้หรือไม่



สำหรับความคืบหน้าของคดี หลังจากตำรวจได้สอบปากคำ ลูกหลานญาติของเจ้าอาวาส คณะกรรมการวัด เบื้องต้น สืบทราบ ผู้ต้องสงสัยรายนี้แล้ว มาหลอกกับเจ้าอาวาสว่าอยู่ จังหวัดสุพรรณบุรี แนวทางการสืบสวนสอบสวน ทราบว่า ที่สุพรรณบุรีเป็นเพียงบ้านญาติของผู้ก่อเหตุ แต่ภูมิลำเนาบ้านเกิดทราบว่าอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร ให้พนักงานสอบสวน ออกหมายเรียก ครั้งที่ 1 ไปแล้ว เพื่อเชิญตัวมาสอบปากคำ ว่าเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่กันอย่างไร หักออกหมายเรียกไปแล้ว ไม่มาพบพนักงานสอบสวน จะออกตามเป็นฉบับที่ 2 และยังไม่มาอีก ก็จะออกหมายจับ ต่อไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ