สังคม
“ปุ๊กกี้” อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง เปิดใจสาเหตุถอยจากมูลนิธิ เปิดหลักฐานปม “ประธานมูลนิธิ” หลอกขายวุฒิฯ
โดย paranee_s
3 ก.ค. 2567
3.4K views
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 3 ก.ค.2567 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม น.ส.เอ (นามสมมุติ) และ “ปุ๊กกี้” อดีตสมาชิกมูลนิธิเป็นหนึ่ง ที่ลาออกเมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เดินทางมาที่มูลนิธิขอคำแนะนำจากทนายความ และแถลงความจริงกับสื่อ
โดย ปุ๊กกี้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิเป็นหนึ่ง เพราะอยากเป็นบุคคลมีชื่อเสียงมีแสง เพื่อที่จะต่อยอดในการทำธุรกิจ แต่ต้องเป็นธุรกิจที่สุจริต และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีผู้ใหญ่คอยเตือนตนเองอยู่เสมอว่าไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลคนนี้ แต่ยอมรับว่าตนไม่เชื่อ เพราะไม่เคยเจอกลับตัว และคอยปกป้องมาตลอด
ตนเองเป็นหนึ่งในการให้เงิน จำนวน 100,000 บาทเพื่อจัดตั้งมูลนิธิ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แม้จะไม่ได้เป็นประธานมูลนิธิหรือไม่ค่อยได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมากนัก เพราะจะมีแต่เขาคนเดียวที่จะคอยออกหน้า แต่ยืนยันว่าที่ออกจากมูลนิธิก็ไม่ใช่เรื่องนี้
เหตุผลที่จำเป็นต้องออก เพราะได้เจอกับตัวเอง เมื่อเขาสอนให้เราทำสิ่งที่ไม่สุจริต คือเสนอให้ "ฮั้วประมูล" เพราะสามีตนมีคอนเนกชันเกี่ยวกับการรับเหมา เพราะคิดว่าถ้าหากทำต้องส่งผลกระทบต่อครอบครัว โดยเฉพาะตัวสามีและยังแบ่งสันปันส่วนว่าใครจะได้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่บ้าง ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่หลาย ๆ คนพูดเป็นความจริง จึงพาตัวเองออกมาจากมูลนิธิ
ส่วนประเด็นการซื้อวุฒิการศึกษา ยอมรับว่าได้ยินเรื่องนี้จากปากของน้อง อ เอง ตอนที่เขาบอกว่าจะซื้อให้สามี ในราคา 150,000 บาท และยังทราบว่าเขาเองได้มีการซื้อขายวุฒิให้บุคคลอื่นอีก ซึ่งเรื่องนี้ตนก็มีคลิปเสียง ระหว่าง "ซ้อลักษณ์และอาจารย์ของมหาวิทยาลัยดัง ที่พูดถึงการซื้อขายวุฒิปริญญากันด้วย"
ตนอยากฝากถึงคนที่อยู่รอบตัวของน้อง อ. อย่างเช่นทนายชื่อดัง และพิธีกรว่า ตนเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมาแล้ว ขอให้ทุกคนถอยออกมา อย่าช่วยคนทำผิด เพราะตนเองก็ยังรู้สึกผิดกับผู้เสียหายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพราะก่อนหน้านี้ตนก็เคย เป็นช่วยเหลือเขา ทั้งที่มีผู้เสียหายมาร้องเรื่องโกงแชร์ด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นจึงขอให้ยุติบทบาทมูลนิธิดังกล่าว แล้วเคลียร์ปัญหาให้จบก่อนที่จะไปช่วยเหลือสังคมเพราะตัวคุณยังไม่ดีพอที่จะทำดีเลย
ด้านน.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี หนึ่งในผู้เสียหายถูกชักชวนให้ร่วมเล่นแชร์และปล่อยกู้ กล่าวว่า ตนรู้จักกับประธานมูลนิธิ จากน้องสาวของตนเมื่อช่วงปลายปี 2560 ก่อนจะถูกชักชวนให้ร่วมเล่นแชร์ วงละ 100,000 จำนวน 40 คน ส่งเงินสัปดาห์ละ 2,200 บาท หลังร่วมเล่นแชร์ไปแล้วครั้งแรกก็ได้เงินพร้อมกำไรครบ หลังจากนั้นเขาก็ชักชวนให้ร่วมเล่นแชร์อีกหลายวงและให้ร่วมลงเงินปล่อยกู้แจกดอกที่เขาตั้งขึ้นมา
ซึ่งตนหลงเชื่อด้วยหน้าที่การงานและฐานะทางสังคมจึงลงเงินไป 488,000 บาท กระทั่งปลายปี 2561 เขาเริ่มไม่จ่ายเงินคืนตามที่ตกลงไว้ พอตนทวงถามไปเขาก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าตัวเขาเองกำลังจะลงเล่นการเมืองแล้วจะได้เงินสนับสนุนกว่า 10 ล้านบาทแล้วจะนำเงินมาคืนให้พร้อมดอกเบี้ย จนผ่านมาหลายปีก็ไม่เคยได้เงินคืน
หลังจากนั้นตนพร้อมผู้เสียหายร่วม 10 คน ได้เขาไปเจรจากับเขาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาบอกให้เอาเลขบัญชีทุกคนมาแล้วจะทยอยคืนเงินให้ แต่พอถึงเวลากับได้เงินโอนคืนมาแค่คนละ 200-300 บาท ตนจึงเข้าไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง ที่สภ.สามพราน เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2567 หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป ตนจึงเกรงว่าตอนนี้เขามีชื่อเสียงรู้จักคนใหญ่คนโตกลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงมาร้องขอให้ทางมูลนิธิช่วยเหลือ
แท็กที่เกี่ยวข้อง