อาชญากรรม

กัมพูชา เผยเรือน้ำมันที่หายไปทั้ง 3 ลำไม่ได้อยู่ในประเทศแล้ว "บิ๊กเต่า" เร่งกดดันนำเรือมาคืน

โดย paranee_s

16 มิ.ย. 2567

426 views

พลตำรวจตรีพฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำด้วย หลังเดินทางไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อหารือ และขอความร่วมมือในการติดตามเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำที่หายไปกับทางการของประเทศกัมพูชา โดยผู้บังคับการตำรวจน้ำ ยอมรับว่า ได้ประสานไปทุกที่ ทุกประเทศ และทุกหน่วย เพื่อร่วมกันค้นหา และตามหาเบาะแสของเรือของกลางทั้ง 3 ลำที่สูญหายไป กลับมาดำเนินคดี


ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถทราบ และระบุพิกัดจุดของเรือของกลางทั้ง 3 ลำได้แล้ว แต่ก็ยังกว้างอยู่ เนื่องจากต้องประเมินทั้งการคุมเรือที่สามารถลอยอยู่ได้กลางทะเล จะลอยอยู่ที่จุดไหนได้บ้าง


ส่วนจากการไปพูดคุยกับทางการกัมพูชานั้น เบื้องต้นก็ได้รับการยืนยันว่าเรือของกลางทั้ง 3 ลำไม่ได้อยู่ในประเทศกัมพูชา เช่นเดียวกับทางการประเทศอื่น ๆ ที่บอกว่าไม่พบเรือทั้ง 3 ลำ แต่เขาก็จะช่วยเราดู ช่วยเราค้นหาให้ละเอียดอีกครั้ง เพื่อกดดัน


โดยแนวทางการสืบสวนขณะนี้ คาดว่าเรือที่หลบหนีไป น่าจะอยู่ในพื้นที่จำกัด และอาจจะไปในพื้นที่ที่มีการทำธุรกิจขายน้ำมันเถื่อน ไม่ได้มุ่งหน้าไปทางประเทศเวียดนามหรือจีนแน่นอน เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่ทำมาหากิน โดยเฉพาะเรื่องของการกระทำความผิดน้ำมันเถื่อนแน่นอน


ผู้บังคับการตำรวจน้ำ แย้มว่า เรือของกลางทั้ง 3 ลำ คาดว่าอยู่ในเขตใกล้ ๆ เรา ลงไปทางแถบภาคใต้ จากประเทศไทยลงไป 24 ไมล์ทะเล หรือ ราวๆ 50 กิโลเมตร แล้ววัดรัศมีจากฝั่งของประเทศไทยออกไป แต่จะไปทางประเทศมาเลเซียหรือไม่ ขอให้รอความชัดเจนอีกนิด ตอนนี้อยู่ระหว่างระดมสรรพกำลังค้นหาพื้นที่จุดนี้ เชื่อว่า 2-3 วันตามที่รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางบอกคาดว่าจะมีข่าวดี


เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ลูกเรือจะพาเรือไปถ่ายน้ำมันออก แล้วยอมทิ้งเรือไว้นั้น ผู้บังคับการตำรวจน้ำ บอกว่า จากสมมุติฐานราคาน้ำมันของกลางสามแสนลิตร ถ้าขายอยู่ในวงการน้ำมัน ราคาอยู่ที่ลิตรละ 10-12 บาทเท่านั้น ตีราคาทั้งหมดราคาทั้งหมด ราว 3 ล้านบาท


ซึ่งถ้าในวงการจะกันรู้ว่า ไม่ได้เยอะมาก แต่เรือของกลาง จากสภาพล่าสุด พบว่าราคาสูง อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาทต่อลำ จึงเป็นไปได้ยากที่จะเอาแต่น้ำมัน แล้วทิ้งเรือไว้ เพราะมันไม่คุ้มค่า และน่าจะตัดประเด็นนี้ทิ้งได้เลย


พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยความคืบหน้าการสืบสวนคดีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำของเครือข่าย "โจ้ ปัตตานี" หายไปจากสะพานตำรวจน้ำ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยระบุว่า เบื้องต้นคาดว่าเส้นทางหลังจากที่เรือบรรทุกน้ำมันหายไป น่าจะล่องมุ่งหน้าไปทางน่านน้ำประเทศกัมพูชา ผ่านเวียดนาม ก่อนจะล่องลงใต้ เพื่อให้พ้นน่านน้ำของประเทศไหนโดยเร็วที่สุด ซึ่งได้ประสานทางการของประเทศต่างๆ โดยรอบทุกประเทศในการติดตามเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 3 ลำแล้ว พบว่ามีแนวโน้มไปในทางที่ดี และกำลังกดดันให้ผู้ต้องหาที่นำเรือไป นำเรือมาคืน แต่เบื้องต้นก็ยังอยู่ระหว่างเร่งรัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ขอเวลาทำงานอีก 3 วัน หากวันพุธที่ 19 มิถุนายนยังไม่มีความคืบหน้า ก็จะเร่งหาแผนดำเนินการอื่น



ส่วนที่จะออกหมายเรียกลูกเรือ 16 คน ที่เหลือ ที่ไม่ได้ไปกับเรือบรรทุกน้ำมันที่หายไป มาสอบปากคำที่ บก.ปอศ. ในวันจันทร์นี้นั้น พลตำรวจตรีจรูญเกียรติบอกว่าได้ออกหมายเรียกไปเรียบร้อยแล้ว นัดหมายช่วงเช้า แต่จะมาครบหรือไม่ ยังไม่สามารถยืนยันได้ ซึ่งหากไม่มา และไม่แจ้งเหตุผลที่เหมาะสม ก็จะต้องบังคับใช้กฎหมายตามขั้นตอนต่อไป



ส่วนจะมีการออกหมายจับบุคคลใดเพิ่มเติมหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน โดยยืนยันว่าหากพยานหลักฐานสาวถึงใคร จะต้องดำเนินคดีทั้งหมด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนเองยอมไม่ได้ เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลมากระทำเช่นนี้ เหมือนล้วงคองูเห่า



ขณะที่ผลการตำรวจสอบวินัยตำรวจน้ำที่ดูแลรับผิดชอบเรือบรรทุกน้ำมันดังกล่าวนั้น ตามกรอบกำหนดให้ 30 วัน แต่ตนเองได้กำชับให้ผู้บังคับการตำรวจน้ำเร่งสอบสวนให้มีความคืบหน้าภายใน 7 วัน โดยหากส่วนใดที่คืบหน้า หรือพบการกระทำความผิด ก็จะให้ทยอยดำเนินการเบื้องต้นไปก่อนตามพยานหลักฐานที่สาวไปถึง แต่เบื้องต้นพบว่าตำรวจน้ำ 3-4 นายน่าจะเข้าข่ายบกพร่อง ทำให้เสียหายต่อราชการอย่างร้ายแรง ส่วนจะเข้าข่ายความผิดใดอื่นอีกหรือไม่ ต้องรอการตรวจสอบ แต่ยืนยันคดีนี้ไม่ล่าช้า ไม่ปล่อยให้ยืดยาวแน่นอน ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้



ส่วนกรณีที่มีคลิปวิดีโอลูกเรือคนหนึ่งอ้างว่ามีเสธ. คนหนึ่งยังไม่ให้เอาเรือออกนั้น พลตำรวจตรีจรูญเกียรติบอกว่าต้องขอตรวจสอบก่อน เนื่องจากคำว่า เสธ. ประชาชนทั่วไปอาจใช้เรียกบุคคลธรรมดาที่ไม่ใช่ เสธ. จริงๆ ก็ได้

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ