เลือกตั้งและการเมือง

'เศรษฐา' รับ 7 เดือนผ่านมายังไม่พอใจ บางอย่างดีขึ้นได้อีก ลั่นอีก 3 ปีกว่า จะยกระดับชีวิต ปชช.

โดย nattachat_c

16 เม.ย. 2567

34 views

วานนี้ (15 เม.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดใจถึงการทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา ว่า


มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชน ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่แม้จะดีแล้วแต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีก เรื่องการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่าแล้ว 140% ถือว่าดีมาก แต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ณ เวลานี้ จากเดือนมกราคม- เมษายน เราได้ประมาณ 60% หากคิดเป็น 100% วันนี้เราได้ประมาณ 90% ตนมั่นใจสถิติคนมาเที่ยวไทย 39.4 ล้านคน เราสามารถดันตัวเลขให้สูงขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งการเปิดตลาดวีซ่าฟรี การ อำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการปัญหาไกด์เถื่อน ไรเดอร์ถื่อน ทำให้การเดินทางเข้าประเทศสะดวกสบายมากขึ้น ก็สามารถทำได้


นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ตนไม่สบายใจหรือพึงพอใจ ตนขอใช้คำว่ายังไม่พึงพอใจสำหรับการทำงาน 7 เดือน แต่ก็ต้องพยายามต่อไป และทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้นไป รวมไปถึงเรื่องของการดึงดูดนักลงทุนเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปัญหายาเสพติด


นายกรัฐมนตรี ยังยอมรับว่า ต้องปรับตัวมากจริงๆ จากการเป็นธุรกิจสู่วงการการเมือง การเป็นซีอีโอของบริษัท มีผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง 4 เสาหลักนี้ เป็นผู้บริหารบริษัทก็ได้รับการซัพพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น แต่มาอยู่ในบริบทของนักการเมือง และเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มี 141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค 141 เสียงจาก 500 เสียง และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน สส. สว. สถาบันความมั่นคง NGO นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย ดังนั้นตนขอใช้คำว่าหุ้นส่วน ในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งแต่ละพรรค สส. แต่ละคน ก็ไปสัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้นการบริหารจัดการงบประมาณก็มีส่วน ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆช้าไปบ้าง


แต่การทำงานร่วมกันมา 7 เดือน เชื่อว่าเรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่าการขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อยๆ ดีขึ้น


เมื่อถามว่าการเป็นนักธุรกิจแล้วมาเป็นนายกฯ มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจ ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์ นายกรัฐมนตรีมีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “หน้าที่ของตนไม่ไช่การเซฟตัวเอง ตนมั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมืองมีจุดมุ่งหมายเดียว คือการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติ ให้ดีขึ้น หากจะเซฟตัวเองตนไม่มีตรงนี้ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตนไม่มีแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามต้องพูดเรื่องทรัพย์สิน เรื่องของชีวิตส่วนตัว ส่วนตัวของผมลงตัวแล้ว ตนมีรายได้ในอดีตที่ดีพอสมควร มีทรัพย์สินที่ทำให้ตนอยู่ได้อย่างสบายๆ เรื่องการที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมืองตนไม่มี คนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งตนย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า 3 ปีครึ่งจากนี้ไป ตนมีเรื่องดียวคือยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และหวังว่าจะทำให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ การที่มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจเยอะ และตอนนี้ก็มีเพื่อน เป็นนักการเมืองเยอะ การที่จะต้องไปเก็บข้อมูลและรู้ลึกทุกเรื่อง และประสบการณ์ในวงการธุรกิจอีก 40 กว่าปี เชื่อว่ามีประสบการณ์มาเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อประชาชน”


เมื่อถามต่อว่า การมานั่งเป็นผู้นำอาจจะต้องเสียเพื่อนไปบ้าง ในกรณีที่ไม่มีการสมประโยชน์กัน นายกรัฐมนตรีเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเจอเพื่อนทุกคนก็คุยกันว่า คนอายุ 60 ปีแล้ว อยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ตนอยากไปดูฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกนัด อยากเดินทางไปประเทศที่ไม่เคย ไปทานอาหารอร่อยในทุกประเทศ อยากหาความสุขให้ตัวเอง แต่การเข้ามาในเวทีการเมือง อยากดูแลความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีขึ้น


“เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้ว และบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่างๆ ที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความ เป็นอยู่ประชาชนดีขึ้นหรือสภาพจิตใจ การถูกเอาเปรียบ จากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนผมทำตัวแบบนั้นก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะฉะนั้นมั่นใจว่า หากอีก 3 ปีครึ่ง ต้องมีเพื่อนน้อยลง แลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ผมก็พร้อม”


ผู้สื่อข่าวยังถามอีกว่า มุมมองทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่หลังเข้าสู่วงการการเมือง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หลายคนอาจบอกว่า นักการเมืองมีทั้งดีและเลว แต่บางคนที่บอกว่า นักการเมืองเลวเพราะการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนั้นชัดเจน แต่บางเรื่องเป็นเรื่องของความเห็นต่าง หรือวิธีการที่แตกต่างกัน มีวิธีการดูแลประชาชนต่างจากที่รัฐบาลมอง ดังนั้นการที่จะต้องจูนเข้าหากัน หรือเวลามีคนมาแนะนำเรื่องอะไร และเห็นชัดเจนว่าต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว ต้นคิดว่าคนพวกนั้นดูถูกต้นไปนิดนึง ตรงนี้ขออย่ามาทำกันดีกว่า ส่วนนักการเมืองจะมาขออะไรก็ขอให้อยู่บนบรรทัดฐานที่เหมาะสม


ในเรื่องของงบประมาณ มีคำภาษาอังกฤษที่บอกว่า "Bigger bang for the buck” หมายความว่า หากใส่เงินไป 1 บาท ผลตอบแทนต้องมากกว่า 1 เหรียญ โดยนายกรัฐมนตรียกตัวอย่างเรื่องน้ำท่วมว่าหากดูแลป้องกันไม่ให้น้ำท่วมไม่แล้วก็จะได้ผลประโยชน์สองต่อ คือ ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น แต่ละพรรค สส. แต่ละคน ก็อยากใช้งบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในเขตของเขา ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องรับฟัง

-------------

วานนี้ (15 เม.ย.) นาย เศรษฐาทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่มีความล่าช้า ทำให้หลายนโยบายของรัฐบาล ถูกขยับออกไป อย่างเช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ก่อนหน้านี้มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะให้ใช้ภายในต้นปีนี้ แต่สุดท้ายกลับถูกเลื่อนออกไป ว่า จริงๆ แล้วตนไม่อยากจะขอโทษเรื่องงบประมาณล่าช้า ซึ่งหากย้อนไปในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ใช้เวลาประมาณสามเดือนพอดี ถือว่านานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่แกนนำพรรคเพื่อไทยได้ 141 เสียง มาเป็นที่สอง และพรรคก้าวไกลได้ 151 เสียง เราก็ทำอย่างเต็มที่ ให้เขาฟอร์มรัฐบาลให้ได้ มีการโหวตให้ไม่แตกแถวเป๊ะ และก็โหวตให้ก้าวไกลเต็มที่ทั้งสองครั้ง


ขณะนั้น พรรคก้าวไกลก็บอกมาตลอดเวลาว่า สามารถที่จะฟอร์มรัฐบาลได้ และมีเสียง สว.เพียงพอ เราก็ให้เกียรติที่จะสนับสนุน และในต่างประเทศหากเป็นพรรคอันดับหนึ่งอันดับสอง ก็จะต้องแข่งขันกัน แต่พอถึงเวลาเราส่งเขาเต็มที่แล้ว ไม่สามารถฟอร์มรัฐบาลได้ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับไม้ต่อ ซึ่งตนก็ทราบว่างบประมาณจะใช้ได้จริงในช่วงเดือนพฤษภาคม และไม่สามารถนำกรณีดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างได้ ตนเพียงแต่บอกเฉยๆ แต่เรื่องของการใช้นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราทำได้ทั้งวีซ่าฟรี พักหนี้เกษตรกร และลดค่าใช้จ่าย


สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราต้องการเม็ดเงินใหม่ เพราะเราประกาศว่า ทุกคนจะต้องได้หมด ใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท โดยต้องใช้หมดภายในหกเดือน อายุ 16 ปี และใช้ภายในอำเภอเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค แต่เอาเข้าจริงเราได้ 141 เสียงไม่ใช่แลนด์สไลด์อย่างที่หวังไว้ และมีหลายภาคส่วนที่เราต้องรับฟัง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นักวิชาการต่าง ๆ รวมไปถึงการตั้งหลักเกณฑ์เงื่อนไขต่าง ๆ เช่น คนรวยใช้หลักเกณฑ์อะไรในการวัด รวมถึงที่มีการตัดกลุ่มเป้าหมาย ที่ถูกตัดไป 12 เปอร์เซ็นต์ ของวงเงินทั้งหมด และมีการตั้งคำถามว่าจะ กู้เงินมาใช้ในโครงการดังกล่าวหรือไม่ จนกระทั่ง เราบริหารจัดการตรงนี้ ให้มันมาจริง ๆ แต่อย่างไรก็ตามไตรมาส4 นี้ ได้อย่างแน่นอนยืนยันทุกอย่าง ทุกขั้นตอนตรวจสอบได้ สุจริตบริสุทธ์ใจ พร้อมย้ำว่าขอให้คอยในไตรมาสที่ 4


เมื่อถามย้ำว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่มีอะไรมาเตะถ่วงทำให้โครงการเงินดิจิทัลฯ ต้องเลื่อนออกไปมากกว่าไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นายกรัฐมนตรี รีบตอบกลับทันทีว่า “มั่นใจ”

-------------

วานนี้ (15 เม.ย.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์กับ สส.พรรคเพื่อไทย ที่ยังมีเสียงสะท้อนจากภายในพรรคว่า ระหว่างนายกฯ กับ สส.ยังมีระยะห่างกันมาก และส่วนหนึ่งมาจากการเข้มงวดเรื่องงบประมาณ ว่า หลายโครงการที่ขอมาก็มีได้ อย่างที่บอกงบประมาณมีจำกัด และตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ดูแลภาษีของประชาชน และมีหน้าที่ตอบกับรัฐสภาว่าภาษีนั้น มีการใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เช่น การสร้างสนามบิน ด่านชายแดนต่างๆ ต้องดูให้ดี เพราะมีการพูดคุย และดูองค์ประกอบหลายๆ อย่าง จึงอยากค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ขอให้ถึงเวลาก่อน ซึ่งหน้าที่ของตนเองก็ต้องปรับจูนระหว่างตนเองกับ สส. ของพรรคตลอดเวลา เพราะตนเองต้องหลังพิงประชาชน เพราะเป็นคนที่ส่งให้ตนเองมายืนอยู่ตรงนี้ และต้องผ่าน สส. ที่มีถึง 141 คน ยังไงก็ต้องโน้มน้าวเข้าหาตลอดเวลา และพยายามอธิบายให้เข้าใจว่าเรื่องคืออะไร ประเด็นคืออะไร เหตุผลที่ให้ได้ และให้ไม่ได้ หรือทำไมต้องได้งบประมาณน้อยลง หรือเพิ่มขึ้น


ซึ่งเรื่องของการพูดคุย เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ยังต้องพยายามไปพบปะพูดคุย หาวิธีสื่อสารให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ สส. พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว เพราะตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ซึ่งในสัปดาห์หน้า ตนเองจะลงพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต ไปดูการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4


ส่วนเรื่องการบริหารอารมณ์นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คิดว่าคนเราก็เป็นคน ก็มีอารมณ์บ้าง และตนเองไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ซึ่งตนเองเข้าใจว่าถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องไม่มีสิทธิ์เลือกโกรธ ต้องพยายามรับฟัง ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี ซึ่งตรงนี้ก็พยายามทำให้ดียิ่งขึ้นอยู่ บางเรื่องก็เข้าใจได้ ก็พยายามฝึกกันต่อไป


เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้เป็นนักธุรกิจแล้วใจร้อนมาก แต่เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ใจเย็นขึ้นเยอะ จนเพื่อนบ่น นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ หรือให้สื่อมวลชนเป็นคนสะท้อนว่ามีการพัฒนาอย่างไร ถ้าถามว่าทำได้ดีพอหรือยัง ต้องตอบว่ายังไม่ดี ต้องพยายามกันต่อไป เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะแล้วก็ ต้องรับฟังทุกๆ คำถาม

-------------

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานของฝ่ายค้าน ว่า ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ได้ดี เป็นการเตือนสติ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ดี ก็พร้อมรับไปพิจารณา ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านอยู่แล้ว ที่ต้องมาดูแลเรื่องการใช้งบประมาณของรัฐบาล อะไรที่ทำยังไม่ดีพอ ก็พร้อมนำไปปรับปรุง อะไรที่มีขีดจำกัด ก็จะพักไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่จะแก้ไขก็จะแก้ไข เชื่อว่าตนเองมีความเข้าใจ พยายามแยกแยะ ไม่โฟกัสเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรืออะไรที่เป็นเกมการเมืองมากเกินไป พยายามไปโฟกัสเรื่องคำแนะนำที่เป็นผลดีกับประชาชน และอยู่ช่วงเวลาที่สามารถทำได้


เมื่อถามว่าฝ่ายค้านเล่นการเมืองมากไปหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสินดีกว่า เพราะไม่อยากสร้างประเด็นทางการเมือง พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้ละเลยเรื่องรายละเอียด บางเรื่องมีระยะเวลาก็ต้องพยายามจัดการกันไป หรือบางเรื่องก็พยายามกำหนดกรอบเวลา หลายอย่างที่พยายามทำมา ก็ต้องมาช่วยกันดู ทั้งรายละเอียดงบประมาณ การทุจริตประพฤติมิชอบ

-------------
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/5IIYeFqxzYM

คุณอาจสนใจ

Related News