หนุ่มต่อยกู้ภัย โมโหพาคนเจ็บส่งหมอช้า เมื่อตามไปโรงพยาบาล โดนกู้ภัยยกพวกรุมทำร้ายคืน

เพจ สุราษฎร์ฯ ต้องรอด โพสต์ข้อความ “#กู้ภัย ออกช่วยเหลือคนเจ็บ แต่กลับถูกญาติทำร้าย เข้ามาคุกคามตั้งแต่จุดเกิดเหตุ จุดเปลี่ยนถ่ายให้รถกู้ชีพ รพ. โดยการใช้คำพูดข่มขู่ ใช้กำลังพยายามกระชากเจ้าหน้าที่กู้ภัยลงจากรถ จนไปถึงการทำร้ายร่างกาย การทำงาน การช่วยเหลือ มีขั้นตอน กฎเกณฑ์ เพื่อที่จะปลอดภัยทั้งคนช่วยและคนที่ถูกช่วย อาจจะถูกใจท่านบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่ไม่ควรที่จะทำแบบนี้ อีกเคสให้เป็นบทเรียน ดำเนินการตามกฎหมู่ และดำเนินคดีตามกฎหมาย #สุราษฎร์ต้องรอด #กุศลศรัทธา” พร้อมรูปภาพขณะที่กู้ภัยกำลังนั่งรอลงบันทึกประจำวันอยู่ในสถานีตำรวจ


จากการตรวจสอบทราบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อช่วง 21.00 น. ของวันที่ 1 เม.ย.2567 โดยศูนย์วิทยุกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุมีผู้บาดเจ็บลื่นล้มภายในบ้าน ใกล้กับ รพ.สต. คลองฉนาก ตำบลคลองฉนาก อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงสั่งการให้กู้ภัยพร้อมอาสาสมัครเข้าตรวจสอบ


เมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุในขณะที่กำลัง ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอยู่นั้น ได้รับแจ้งเหตุว่ามีรถจักรยานยนต์ล้มเองในจุดใกล้เคียง ซึ่งในขณะนั้นทางด้านญาติได้นำผู้บาดเจ็บขึ้นรถกระบะออกมาเจอกับรถกู้ภัยพอดี จึงได้นำคนเจ็บลงจากรถกระบะและมาขึ้นรถกู้ภัย ก่อนที่กู้ภัยจะขับรถนำผู้บาดเจ็บออกจากจุดเกิดเหตุ ได้มีญาติของผู้บาดเจ็บเข้ามา เปิดประตูรถฝั่งคนขับ และพยายามกระชากเจ้าหน้าที่กู้ภัยลงจากรถ พร้อมทั้งพูดว่า “มึงลงมา กูขับเอง” กู้ภัย จึงได้บอกว่าให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวจะเร่งนำส่งให้ และได้นำผู้บาดเจ็บออกจากจุดเกิดเหตุ


ในเวลาต่อมาศูนย์สั่งการกู้ชีพตาปี ได้มีคำสั่งให้รถกู้ภัยนำผู้บาดเจ็บมาเปลี่ยนถ่ายให้กับรถโรงพยาบาล ที่หน้าปั๊มปตท.บางใบไม้ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 6-7 กม. ขณะที่กู้ภัยขับรถมาเจอกับรถกู้ชีพและกำลังจะเปลี่ยนถ่ายผู้บาดเจ็บให้รถกู้ชีพนั้น


ญาติของผู้บาดเจ็บคนดังกล่าวได้ขับรถตามมาแบบกระชั้นชิดก่อนจะจอดรถเปิดประตูลงมาเเละต่อย เข้าที่ขมับด้านซ้ายของเจ้าหน้าที่กู้ภัยหนึ่งครั้ง ญาติของผู้ก่อเหตุจึงเข้ามาช่วยกันห้ามและรถกู้ชีพก็ได้นำผู้บาดเจ็บออกไปส่งโรงพยาบาล ก่อนที่ทั้งคู่จะไปเจอกันที่โรงพยาบาลและเกิดการชุลมุนขึ้นอีกครั้งระหว่างกู้ภัยกับญาติของผู้บาดเจ็บ และกู้ภัยได้เดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีที่สภ. เมืองสุราษฎร์ธานีในเวลาต่อมา


ทางด้านนายอนิรุตน์ อายุ 45 ปี กู้ภัยนายหนึ่งกล่าวว่า ตอนนี้ตน ยังรู้สึกผวา และไม่กล้าที่จะออกไปทำงานช่วยเหลือคนเจ็บเพราะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนอยากให้ ผู้บาดเจ็บหรือญาติเข้าใจการทำงานของกู้ภัยด้วย เพราะการทำงานต้องมีขั้นตอนเพื่อที่จะช่วยเหลือ ได้อย่างปลอดภัยทั้งฟังผู้ประสบภัยและผู้ช่วยเหลือ ซึ่งตนก็ไม่ได้ติดใจจะเอาความอะไร แค่อยากให้ญาติของผู้บาดเจ็บคนดังกล่าวมาขอโทษแล้วทุกอย่างก็จะจบ

ขณะที่วงจรปิดจับภาพชัด หน้าที่ญาติผู้บาดเจ็บ ขับตามรถโรงพยาบาลก่อนลงจากรถปรี่เข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่


ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุบริเวณหน้าปั๊ม. บริเวณบางใบไม้ ซึ่งเป็นจุดที่รถกู้ภัยนำผู้บาดเจ็บมาเปลี่ยนถ่ายให้กับรถโรงพยาบาล โดยกล้องวงจรปิด ที่ติดตั้งอยู่ บนเสาไฟฟ้าริมถนน สามารถจับภาพไว้ได้ จะเห็นได้ว่าในขณะที่รถโรงพยาบาลขับมาจากฝั่งขาออกเมือง เมื่อมาถึงจุดดังกล่าวรถพยาบาลได้กลับรถรอ ก่อนรถกู้ภัย จะนำผู้บาดเจ็บมาถึงและจอดเทียบด้านข้าง หลังจากนั้นได้มีรถกระบะขับตามรถกู้ภัยมา และมีผู้ชายไม่ใส่เสื้อลงจากฝั่งคนขับปรีเข้าไปต่อยเจ้าหน้าที่กู้ภัยในช่วง 1.15นาที


ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่สภ. เมืองสุราษฎร์ธานี คู่กรณีคือนายพล (นามสมมุติ) อายุ 41 ปี ผู้ก่อเหตุ พร้อมกับลุงเปี๊ยก อายุ 56ปี ผู้เป็นลุงที่ถูกลูกหลงในช่วงชุลมุนได้รับบาดเจ็บ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ. นิพล ชาตรี ผกก.สภ.เมือง และพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม ซึ่งทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ ที่จมูกและมีรอยฟกช้ำที่ลำตัวหลายแผล


ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนายพล และลุงเปี๊ยก โดยนายมงคลกล่าวว่า ตนยอมรับผิด ในเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ตนเป็นฝ่ายเริ่มไปชกต่อยก่อน เนื่องจากตั้งแต่ตอนอยู่ที่เกิดเหตุตนได้กู้ภัยให้นำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่กู้ภัยได้เปลี่ยนเส้นทางและนำไปส่งต่อให้กับรถโรงพยาบาล ซึ่งในตอนนั้นตนคิดว่าน้องได้รับการช่วยเหลือช้า ยังโกรธและได้เข้าไปต่อยกู้ภัยหนึ่งครั้ง


ในตอนนั้นหลังจากตนต่อย กู้ภัยคนที่เป็นคู่กรณีก็ไม่ได้พูดอะไรและได้ขึ้นรถไปโรงพยาบาล แต่เมื่อตนตามไปถึงโรงพยาบาลพบว่ามีกู้ภัยประมาณ 30 คนได้ไปดักรอตนอยู่แล้ว เมื่อตนลงจากรถ ก็มีกู้ภัยหลายคนเข้ามารุมทำร้ายตนและลุงจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตนเกรงว่าตนจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในส่วนนั้น แต่ที่ตนไปต่อยก่อน ตนก็อยากขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายพลกล่าว