สังคม

เพื่อนบ้านโต้วาทะเดือด ปัญหาจอดรถขวางหน้าบ้าน สุดทน เป็นแบบนี้กว่า 9 ปี

โดย paranee_s

19 มี.ค. 2567

483 views

ผู้ใช้งาน Facebook รายหนึ่งส่งเรื่องร้องเรียน เพื่อขอความเป็นธรรมเนื่องจากมีปัญหาทะเลาะกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามจอดรถขวาง วางราวตากผ้าหน้าบ้าน ทำให้เข้าออกไม่ได้ และเป็นแบบนี้มานานถึง 9 ปี อดทนมาตลอดจนล่าสุดเกิดเหตุวิวาทะขึ้น เพราะตนเองจะถอยรถออกจากบ้าน แต่ออกลำบากจนเกือบจะเบียดกับรถคู่กรณีทำให้เกิดปากเสียงทะเลาะกัน ฝั่งคู่กรณีอ้างเป็นทนายความ ตนจึงท้าทายให้ไปออกรายการโหนกระแสให้สังคมช่วยตัดสิน


ทีมข่าว ลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านที่เกิดเหตุย่านบางใหญ่ นนทบุรี สอบถาม น.ส. ณัฐกันต์ อายุ 32 ปี ผู้ร้องที่เป็นคนถอยรถออกจากบ้านและเป็นฝั่งคนถ่ายคลิป บอกว่าวันเกิดเหตุ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ตนเองกับ น.ส.วาสนา กำลังจะออกไปทำธุระข้างนอก จังหวะที่ถอยรถออกจากซอย ซึ่งปกติก็แคบอยู่แล้วเพราะบ้านของคู่กรณีทั้งจอดรถขวางหน้าบ้านและนำราวตากผ้ามาตากหน้าบ้านอีก


รถของเธอคือคัน Mazda สีขาวที่กำลังจะถอยออก และเป็นจังหวะที่บ้านของคู่กรณีถอยรถสวนกลับเข้ามาอีก ซึ่งจะมีรถคันสีน้ำเงินจอดอยู่อีกฝั่ง ทำให้รถของเธอเหมือนถูกบีบและถอยออกอย่างยากลำบากตามคลิปที่เห็น เธอยอมรับว่า โมโห ปรี๊ดแตก ฝั่งคู่กรณีด่าเธอว่า จะรีบถอยรถมาทำ .... อะไร


จากนั้นก็ลงมาโต้เถียงกัน พักหนึ่ง ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาช่วยไกล่เกลี่ย ซึ่งทางฝั่งของคู่กรณี ชายเสื้อสีเทา บางช่วงบางตอนมีการพูดอ้างด้วยว่าตัวเองเป็นทนายความรู้ข้อกฎหมายเหมือนกัน


ตนเองด้วยความที่เป็นผู้หญิง 2 คน ไม่รู้จะสู้ยังไงจึงท้าทายกลับไปว่าให้มาออกรายการโหนกระแสด้วยกันทั้งคู่ให้สังคมช่วยตัดสินว่า ใครถูกใครผิด เพราะตั้งแต่ซื้อบ้านและอยู่ที่นี่มาเกือบ 10 ปี มีปัญหาเรื่องที่จอดรถและการเข้าออกมาโดยตลอด จนตนเองรู้สึกทนไม่ไหว เคยถึงขั้นไม่อยากกลับบ้านต้องออกไปเช่าหอพักอยู่ถึง 2 ปี เพื่อหนีปัญหาดังกล่าว


ขณะที่ น.ส.วาสนา อายุ 37 ปี เพื่อนสาวคนสนิทของ น.ส.ณัฐกันต์ บอกว่า ตนเองเป็นคนมาดูบ้านหลังนี้และตัดสินใจซื้อ เพราะเห็นว่าทำเลดี ฮวงจุ้ยดี มีลมพัดเย็นตลอดทั้งวันและเป็นบ้านหลังมุมมีเนื้อที่ด้านข้าง ซึ่งตอนที่มาดูเกือบ 10 ปีที่แล้วภายในซอยยังไม่มีรถจอดเยอะแบบนี้ จนอยู่ไประยะหนึ่งบ้านของฝั่งคู่กรณีมีรถ 2 คันและจะจอดหน้าบ้านตัวเองแบบนี้ตลอด ส่วนรถของบ้านตนเองมี 1 คันก็จะจอดหน้าบ้านในลักษณะเดียวกัน แต่จะมีการพูดคุยกับบ้านอีกหลังหนึ่ง ที่อยู่ในสุดเพราะบ้านหลังดังกล่าวก็มีรถเหมือนกันเวลาเข้าออกจะสลับกันถอยเข้าออกไม่มีปัญหาอะไรกัน


แต่ทางฝั่งบ้านคู่กรณี ตนเองจะมีปัญหา ตลอดเคยร้องไปที่นิติของหมู่บ้านก็ทำอะไรไม่ได้ ได้ข้อสรุปเพียงว่าเวลาจะถอยเข้าออกให้ไปกดกริ่งเรียก ซึ่งที่ผ่านมาตนเองก็เคยไปกดกริ่งเรียกแต่บางครั้งที่เป็นเวลาเร่งด่วน บ้านของคู่กรณีก็จะออกมาช้าเคยขอเบอร์โทรศัพท์มือถือทางฝั่งบ้านคู่กรณีไม่ยอมให้บอกว่ากลัวเธอเป็นมิจฉาชีพ


หลังจากนั้นก็เริ่มไม่คุยกัน และเวลาเข้าออก ก็จะมีปัญหาลักษณะนี้เรื่อยมาจนกระทั่งวันเกิดเหตุ ฝั่งคู่กรณีนำราวผ้าออกมาตากกินไปเกือบครึ่งถนนและรถของฝั่งคู่กรณีอีกคันก็กำลังถอยสวนเข้ามา นอกจากนี้บ้านข้างๆ ก็นำรถมาจอดซ่อมที่หน้าบ้านอีกทำให้ ตัวเธอเองออกจากบ้านลำบาก และมีปากเสียงทะเลาะกัน พอตำรวจมาถึง ฝั่งคู่กรณีอ้าง ว่าเป็นทนายความ ซึ่งเธอเองก็ไม่เคยทราบมาก่อนว่าบ้านฝั่งคู่กรณีเป็นทนายความ แต่เห็นโลโก้ที่ติดหน้ารถว่า สำนักงานอัยการสูงสุด และ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอ้างแบบนั้น ตนจึงท้าทายกลับว่าให้มาออกรายการโหนกระแสหวังให้สังคมช่วยตัดสินและให้ความเป็นธรรม


เพื่อให้ความเป็นธรรมกับฝั่งคู่กรณีทีมข่าวไปพูดคุยกับนายประสิทธิ์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและเป็นพ่อของชายเสื้อเทาที่อ้างตัวว่าเป็นทนายความ โดยนายประสิทธิ์บอกว่าลูกชายตนเองเป็นทนายความจริง เรียนจบด้านกฎหมายแต่ที่พูดไม่ได้เพื่อต้องการข่มขู่ฝั่งผู้ร้อง แต่เห็นว่าฝั่งผู้ร้องมีการโทรศัพท์แจ้งตำรวจมา ลูกชายตนจึงพูดไปด้วยความโมโห


ส่วนปัญหาเรื่องการจอดรถ นายประสิทธิ์ บอกว่า บ้านตนเองมีรถ 2 คัน จอดรถหน้าบ้านแบบนี้มา 10 กว่าปี ไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนบ้าน แม้แต่บ้านข้างๆ ยังอนุญาตให้ตนเองจอดรถขวางหน้าบ้านได้ เพราะอยู่ซอยเดียวกันต้องพึ่งพาอาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน แต่ที่มีปัญหามีอยู่บ้านเดียวคือบ้านของผู้ร้อง ซึ่งจริงๆ ก็มีรถ 2 คัน อีกคันหนึ่งเป็นรถกระบะ เวลามาจอดนายประสิทธิ์บอกว่าจอดขวางหน้าบ้านเหมือนกันและกินถนนเกินมาครึ่งหนึ่ง เวลาตนเองจะขับรถเข้าออกก็ลำบากไม่แพ้กัน


ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยพูดคุยกันดีๆ แต่จุดแตกหัก เกิดขึ้นเพราะราวผ้าที่บ้านของตนเอง ซึ่งยอมรับว่าบางครั้งต้องนำมาตากกลางถนนเพื่อต้องการให้ผ้าโดนแดดเต็ม ซึ่งมีอยู่วันหนึ่ง ทางฝั่งผู้ร้อง จะถอยรถออกจากบ้านและติดราวผ้าของตนเองจึงมีการตะโกนขึ้นว่า "ตากผ้าแบบนี้รถจะออกยังไง"


ตอนนั้นตนเองนั่งอยู่ในบ้านได้ยินเต็ม 2 รูหูและเป็นลักษณะการพูดกระแทกเสียงด้วยความไม่พอใจ ตนจึงสวนกลับไปทันทีว่า "มีปากนี่ก็บอกได้" และราวตากผ้ามีล้อสามารถเลื่อนขยับได้ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มเกิดรอยร้าวทำให้บ้านของตนเองและฝั่งผู้ร้องไม่คุยกัน จนมีการไปร้องเรียนถึงนิติฯ และเป็นปัญหาเรื่อยมา ซึ่งตนเองมองว่าการอยู่ร่วมกันต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งบ้านหลังอื่นที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีก็ไม่มีปัญหามีแค่บ้านของผู้ร้องเท่านั้น


นอกจากนายประสิทธิ์ที่เป็นคู่กรณีกับผู้ร้องแล้วยังมีบ้านอีกหลังที่ถูกหางเลขไปด้วย คือบ้านของช่างหนึ่ง ซึ่งในวันที่เกิดเรื่อง 17 มีนาคมที่ผ่านมาบ้านของช่างหนึ่งกำลังซ่อมรถอยู่หน้าบ้าน และถูกผู้ร้องตะโกนต่อว่าด้วยว่ามาซ่อมรถอะไรหน้าบ้าน


โดยช่างหนึ่งบอกว่า ตนเองเป็นช่างซ่อมรถจริง แต่มีอู่อยู่อีกที่หนึ่งไม่ใช่เปิดบ้านเป็นอู่ซ่อมรถ แต่ในวันดังกล่าว รถของเพื่อนแอร์เสียจึงขับรถมาหาที่บ้านและให้ตนเองซ่อมให้ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็ซ่อมเสร็จ ไม่ได้ซ่อมทั้งวันและไม่ได้เปิดบ้านเป็นอู่ซ่อมรถทุกวัน


ตนเองก็รู้สึกตกใจมากที่ในวันดังกล่าว ผู้ร้องมีการเปิดกระจกมาด่า ต่อว่าตนเองด้วย ตนเองเลยรู้สึกอารมณ์ขึ้น เดินไปร่วมวงโต้เถียงกันตามคลิป ซึ่งทางผู้ร้องยังมีการเดินมาพูดด้วยว่า ให้ตนเองระวังตัวไว้ ตนเองจึงอยากร้องขอความเป็นธรรมให้สังคมเข้าใจด้วยว่าตนไม่ได้เปิดอู่ซ่อมรถที่บ้าน ส่วนรถคันสีน้ำเงินเป็นรถของเพื่อนบ้านอีกหลังที่วันนั้นเจ้าของรถมากินข้าวกับพ่อกับแม่และไม่ได้มาทุกวัน


ตนเองยืนยันว่า ที่ผ่านบ้านของนายประสิทธิ์บ้านของตนเองรวมถึงบ้านหลังอื่นๆ ในซอยไม่เคยมีปัญหากันเรื่องจอดรถ เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมาโดยตลอด

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ