เลือกตั้งและการเมือง

เปิดคำสัมภาษณ์ 'เศรษฐา' นิตยสาร TIME ตอบประเด็นแรง นายกฯหุ่นเชิด

โดย panwilai_c

13 มี.ค. 2567

81 views

เว็บไซต์นิตยสาร TIME ของสหรัฐอเมริกาเผยภาพ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยที่ได้ขึ้นปกนิตยสาร พร้อมคำโปรยตัวโต ๆ ว่า "เดอะ เซลส์แมน"



หน้าปกนิตยสารฉบับนี้มีภาพถ่ายของนายกฯ เศรษฐาในท่ากอดอก ดูขึงขัง โดยข้าง ๆ มีข้อความว่า "เดอะ เซลส์แมน นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินของไทย กำลังเปิดรับการลงทุนทางธุรกิจเข้ามาในประเทศ ที่ยังไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรหลังการเลือกตั้ง"



บทความดังกล่าวยังตั้งคำถามนำก่อนเข้าบทสัมภาษณ์ด้วยว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยที่กำลังเปิดรับโอกาสทางธุรกิจมาสู่ประเทศ แต่เขาจะสามารถเยียวยาประเทศได้หรือไม่



นายกฯเศรษฐาได้ให้สัมภาษณ์แบบ Exclusive กับTIME ในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจของไทยที่ตอนนี้ซบเซาอย่างหนักจนตามหลังประเทศเพื่อนบ้านหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, และเวียดนาม



เว็บไซต์ของ TIME ระบุว่า นับตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่ง นายกฯ เศรษฐาได้ออกเดินทางไปเยือนต่างประเทศมากกว่า 10 ประเทศ เพื่อชักชวนชาวต่างชาติให้มาลงทุนในไทย ไม่ว่าจะเป็น จีน, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, และสวิตเซอร์แลนด์



นายกฯ เศรษฐา บอกอย่างตรงไปตรงมากับ TIME ว่าตอนนี้ ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลของเขาพยายามแก้ไขวิกฤตนี้ ด้วยการออกนโยบายต่าง ๆ เช่น การลดภาษีเชื้อเพลง และ พักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี ซึ่งนายกฯ เศรษฐายังพูดถึงนโยบายกระเป๋าตังดิจิทัล 10,000 บาท และประกาศว่า จะยกระดับบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลกด้วย



อย่างไรก็ตาม TIME บอกว่า หนทางดังกล่าวยังคงมืดมน เพราะพรรคเพื่อไทยไปจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายที่เคยเป็นพันธมิตรกับกองทัพ ซึ่งเคยทำรัฐประหารและขัดขวางการปฏิรูปครั้งใหญ่ และเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่กับเส้นทางสู่อำนาจที่ขัดแย้ง นายกเศรษฐาฯ จึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักที่จะสร้างผลงานให้เป็นรูปธรรมได้



ในประเด็นนี้ นายกฯ เศรษฐาตอบกลับ TIME ว่า ความกดดันไม่ได้มาจากการเป็นที่ 2 แต่มาจากความต้องการในการแก้ไขปัญหาความยากจน และยกระดับชีวิตของคนไทย



TIME บอกว่า นอกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว นายเศรษฐายังควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย แต่จนถึงตอนนี้ ประเทศไทยยังไม่ผ่านร่างงบประมาณประจำปีเลย ขณะที่นโยบายกระเป๋าตังค์ดิจิทัล ก็ทำให้ตัวเขาเกิดความขัดแย้งกับธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย



TIME ยังบอกว่าขณะที่นายกฯ เศรษฐาเร่ขายให้ต่างชาติทราบว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยมีการผูดขาดทางธุรกิจให้กับกลุ่มคนเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง เช่น กฎหมายห้ามขายเบียร์ที่ผลิตในปริมาณน้อย ซึ่งมีมานานหลายสิบปี และเป็นเกราะกำบังให้กับบริษัทขนาดใหญ่ 2 แห่งที่ผูกขาดถึง 90% ของตลาดที่มีมูลค่าสูงถึง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 280,000 ล้านบาท) เช่นเดียวกันกับ การขายสินค้าปลอดภาษีในสนามบินที่มีเพียงบริษัทเดียว ซึ่งใกล้ชิดกับรัฐบาล ได้สัปทานไปเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ทำให้เกิดอาณาจักรของครอบครัวเติบโตหลายพันล้าน



ศาสตราจารย์ดันแคน แมคคาร์โก (Duncan McCargo) อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศไทยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ บอกว่า แม้ว่าบริษัทต่างชาติหลายแห่งต้องการเข้ามาลงทุนในภาคโทรคมนาคม, ค้าปลีก, เครื่องดื่ม แต่ทุกคนรู้ว่าภาคธุรกิจเหล่านี้ถูกครอบครองไปหมดแล้ว



แม้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะให้คำมั่นว่าจะลดทอนอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ๋เหล่านี้ แต่ 1 สัปดาห์ถัดมาหลังจากที่นายเศรษฐาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขากลับไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างน้อย 6 แห่ง



ซึ่งเศรษฐาบอกว่า เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดมากในเรื่องนี้ และย้ำว่า ตลาดของประเทศยังมีพื้นที่สำหรับผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติที่จะเข้ามาแบ่งปันตลาดร่วมกัน ซึ่งเขาไม่คิดว่าเศรษฐกิจถูกครอบงำโดยกลุ่มบริษัทระดับโลกล้วน ๆ



ขณะเดียวกัน บทสัมภาษณ์ยังบอกว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเช่นนั้น เห็นได้จากคะแนนเสียง 14 ล้านเสียงที่เทให้กับพรรคก้าวไกล พรรคที่ให้คำมั่นว่า จะกระจายอำนาจจากส่วนกลางและทำลายระบบผูกขาด ซึ่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตผู้นำพรรคก้าวไกล ที่จริง ๆ แล้วควรได้นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ด้วยซ้ำ ได้บอกว่า เศรษฐากำลังติดอยู่กับยุคเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนรวย (trickle-down economics)



บางช่วงบางตอน TIME ยังได้กล่าวถึงบทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้บทบาทของเศรษฐาลดน้อยลง ทันทีที่เขาเดินทางกลับเข้าประเทศ หลังจากทักษิณเนรเทศตัวเองไปอยู่ในต่างประเทศ 15 ปี



และในวันเดียวกับที่ เศรษฐาได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณก็เดินทางกลับประเทศ และถูกจักบุมที่สนามบิน เขาถูกวิพากษาจำคุก 8 ปี ในข้อหาคอร์รัปชัน และใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง นายทักษิณในวัย 74 ปี ก็ถูกนำตัวจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาล และ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ก็ได้รับการพักโทษ



TIME ยังบอกด้วยว่า เพื่อไทยไปทำข้อตกลงกับกองทัพในการนำทักษิณกลับบ้าน ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับคนไทย และผู้ที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยจำนวนมาก ซึ่งมีบางคนออกมาประท้วงหน้าที่ทำการพรรค



จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้หลายคนบอกว่า เศรษฐาเป็น "หุ่นเชิด" โดยนายชูวิทย์ โกมลวิศิษฐ์ เคยกล่าวไว้ว่า เศรษฐาคือหุ่นเชิด ทักษิณสามาถสั่งเศรษฐาได้ ว่าจะไปซ้ายหรือขวา ซึ่งเศรษฐาก็ปฏิเสธ และยืนยันว่า เขาควบคุมตัวเองได้



ในส่วนประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน TIME ได้ยกคำพูดของ ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการขององค์กร Human Rights Watch ภาคพื้นเอเชียที่บอกว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่วาระสำคัญอันดับต้น ๆ ของรัฐบาลเศรษฐา เนื่องจากเศรษฐาไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปอุตสาหกรรมประมงในประเทศซึ่งเคยเกิดปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์อย่างรุนแรง



TIME ยังเผยแพร่ประวัติชีวิตของนายกฯ เศรษฐาที่ผันตัวจากผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์มาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย



ช่วงหนึ่งของบทความ TIME บอกว่านายกฯ เศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของไทย ที่สร้างห้องนอนในทำเนียบรัฐบาล ทำให้เขาสามารถมาทำงานโดยที่ไม่ต้องเดินทางผ่านการจราจรที่แออัดของกรุงเทพ ซึ่งนายกฯ เศรษฐากล่าวว่า การทำแบบนี้ทำให้เขาสามารถจัดการประชุมได้ทั้งเช้าและดึก และไม่ต้องไปกีดขวางการจราจรด้วยขบวนรถ



นายกฯ เศรษฐายังพูดถึงสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้วและทำให้แรงงานไทยในอิสราเอลเสียชีวิต 39 คน และถูกจับเป็นตัวประกัน 32 คนด้วย โดยบอกว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ รัฐบาลของเขาได้เจรจาเพื่อปล่อยตัวประกันคนไทยออกมา ข่าวค่อย ๆ ถูกนำเสนอออกมาอย่างช้า ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุด คือยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ



ส่วนประเด็นความสัมพันธ์กับต่างประเทศ TIME บอกว่า นายกฯ เศรษฐาได้เดินทางไปพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อดึงดูดการลงทุนโดยเฉพาะการก่อสร้างโครงการแลนด์-บริดจ์ มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 107,000 ล้านบาท) ซึ่งนายกฯ เศรษฐาได้กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีสีว่า ประธานาธิบดีสีมีแสงออร่าของผู้นำของโลกเปร่งประกายออกมา นายกเศรษฐาคิดว่า ประธานาธิบดีสีต้องการติดต่อค้าขาย ไม่ได้ต้องสร้างปัญหาหรือสงครามใด ๆ



TIME ยังถามความคิดเห็นของนายกฯ เศรษฐาเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอเล็กเซ นาวาลนี ผู้นำฝ่ายค้านคนสำคัญของรัสเซียที่เสียชีวิตในเรือนจำในเขตขั้วโลกเหนือ ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนบอกว่า เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของปูตินด้วย นายกฯ เศรษฐาพูดประมาณว่า ตอนนี้ ยังไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นฝีมือของปูติน แต่หากเป็นเหตุอาชญากรรมจริง มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนของรัสเซีย และเขาไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายอธิปไตยของประเทศอื่นได้



นอกจากนี้ นายกเศรษฐายังแสดงความเสียใจเล็กน้อยกับ TIME ที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องชื่อดัง ไม่มาเปิดคอนเสิร์ต ดิ อิราส์ ทัวร์ (The Eras Tour) ในประเทศไทย แต่เลือกสิงคโปร์ประเทศเดียวในอาเซียน



ขณะที่คำพูดปิดท้ายบทความของนายกฯเศรษฐาที่น่าคิดก็คือ "จาก CEO ของบริษัทมาสู่ CEO ของประเทศ ทีมีประชาชนมากมายเป็นผู้ถือหุ้น แต่สิ่งที่ไม่ต่างกับห้องประชุมบอร์ด ก็คือ อำนาจไม่เคยแบ่งได้อย่างเท่าเทียม


https://youtu.be/HauI1bRWbTQ

คุณอาจสนใจ

Related News