สังคม

หมอสาวร้อง ถูกชายต่างชาติเตะ เมียคนไทยด่าเหยียด ขู่รู้จักตร.ใหญ่ คู่กรณีแจงแล้ว อ้างเป็นอุบัติเหตุ

โดย nattachat_c

29 ก.พ. 2567

3K views

จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaiyachot Uttamang  โพสต์ข้อความว่า  

"เรื่องเล่าจากแพทย์หญิงไทย ถูกชายต่างชาติชาวสวิส ทำร้ายบนผืนดินไทย ลูกสาวของผม ผู้เป็นหมออยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นคนสุภาพ และถ่อมตนเป็นปกติ เขียนข้อความออกมาจากร่างกาย และจิตใจของเธอ ที่ถูกทำร้ายว่า...


สวัสดีค่ะ ขออนุญาตขอความช่วยเหลือเพื่อกระจายข่าว เพื่อความยุติธรรมด้วยค่ะ เราถูกชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างทำร้ายร่างกายค่ะ โดยมีลำดับเหตุการณ์ดังนี้


เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.30 น.เราไปกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นหมอด้วยกันที่ร้านTaste Yamu หลังกินเสร็จ ก็ชวนกันไปเที่ยวหาดสาธารณะแถวใกล้บ้านบริเวณ Cape Yamu คือ ปกติไปเดินเที่ยวบ่อย เนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด และค่อนข้างปลอดภัย


ตอนเราเดินไปที่หาดกับเพื่อน เจอพี่ยามคนหนึ่ง แกก็ถามว่า เรามาดูดวงจันทร์ใช่มั้ย เพราะมันเป็นวันมาฆบูชา (ฟูลมูน) เลยตอบไปว่า ใช่ค่ะ พี่ยามก็บอกว่า ครับ เอนจอย ครับ แล้วเดินจากเราไป


เรากับเพื่อนเดินดูดวงจันทร์บนชายหาดกันสักพัก รู้สึกเมื่อย และอยากนั่งพัก จึงเดินไปนั่งตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาด ที่ต่อลงมาจากวิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย


ในขณะที่เรานั่งอยู่  รู้สึกเหมือนมีใครเดินมาข้างหลัง จึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า รู้สึกเหมือนมีคนเดินมา จากนั้น พลันก็รู้สึกสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งร่าง เมื่อได้สติก็ทำให้รู้ว่า เกิดจากหน้าแข้งที่กระหน่ำเตะลงมาที่กลางหลัง จากชายชาวต่างชาติตัวใหญ่น้ำหนักราว 100 กิโลกรัม ในสภาพหน้าแดง เหงื่อท่วม กำลังถือโทรศัพท์เพื่ออัดวิดีโอ และสบถด่าคำหยาบออกมาสารพัด


เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาพี่ยาม บนป้อมยามบนเนินข้างบน แล้วบอกว่า “พี่คะ หนูถูกทำร้ายร่างกาย” พี่ยามก็ตกใจ และพาเราไปยังหน้าวิลล่า 23 ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ  


ฝรั่งคนนั้น แสดงอาการโกรธ สบถคำด่าออกมาสารพัด  จากนั้น ภรรยาชาวไทยพร้อมแผงสร้อยเพชรเม็ดโตก็เดินออกมา ตอนนั้น เรากับเพื่อนแอบดีใจ เพราะคิดว่าจะเคลียร์กันได้


แต่ประโยคแรกที่ภรรยาชาวไทยพูด ถึงกับทำให้เรากับเพื่อนสตันท์ไป เพราะเธอบอกว่า “นี่อีดอกสองตัวนี้ มานั่งอยู่หน้าบ้านกู พวกมึงรู้มั้ย ต่อให้พวกกูยิงพวกมึงตาย กูก็ไม่ผิด เพราะลูกกูเป็นตำรวจ และรู้จักนายตำรวจใหญ่ของภูเก็ต กุจะเอาพวกมึงเข้าคุกให้ได้ กูจะโทรหาท่านรองเดี๋ยวนี้” จากนั้น เธอก็โทรหาตำรวจยศใหญ่ของเธอว่า ให้ส่งตำรวจมา


ผ่านไปประมาณ 15 นาที มีตำรวจ 2 คนเดินมา คนหนึ่งแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นตำรวจในเครื่องแบบ ตำรวจหนุ่มทั้งสองพยายามมาเจรจาเคลียร์เรื่อง  


หลังจากที่ตำรวจมาคุยกับเรา เราก็บอกกับตำรวจว่า เราถูกทำร้ายร่างกาย ชายชาวต่างชาติก็พูดกับเราว่า “อ๋อเป็นชนพื้นเมือง เป็นคนไทยเหรอ รู้มั้ย ชั้นไม่ได้จ่ายค่าเช่าวิลล่าเดือนละล้านบาท มาให้พวกมึงนั่งหน้าบ้านกู” เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร  


หลังจากนั้น ตำรวจก็เดินมาพูดกับเราว่า ตอนนี้ มันผิดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเราเป็นคนบุกรุก มีโทษหนักกว่า ต้องติดคุก 4 ปี ฝ่ายเขาแค่ทำร้ายร่างกาย จ่ายเงินก็จบ เราเลยช็อกไป ตำรวจนายหนึ่งบอกว่าต้องเคลียร์ให้ยอมความกันให้ได้ จะได้ไม่ต้องถึงโรงพัก


เราจึงเสนอให้ 3 ทางเลือก คือ

1. ต่างคนต่างขอโทษแล้วจบ  

2. ต่างคนต่างไม่ขอโทษแล้วจบ  

3. ไปคุยกันที่โรงพัก  


ฝั่งนู้นเค้าบอกว่า “เราขอโทษฝรั่งได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษเรา และเราจะต้องติดคุก”


หลังจากนั้น เราจึงไปแจ้งความที่ สภ.ถลาง หลังจากแจ้งความ เราได้ทราบชื่อของชาวต่างชาติคนนี้ ซึ่งทำให้เราช็อกมาก เพราะชายคนนี้เป็นชาวสวิส เป็นเจ้าของมูลนิธิที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือช้าง ที่เคลมว่า เค้าจะปกป้องดูแลช้าง และไม่ทำร้ายช้าง แต่เค้าทำร้ายผู้หญิงค่ะ!


รบกวนขอความยุติธรรมกับเรื่องนี้ด้วยนะคะ เพราะอีกฝั่งเป็นชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลในภูเก็ต มีข้อสังเกตว่า มีตำรวจยศใหญ่คอยช่วยเหลือดูแลอยู่เบื้องหลัง


และเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่สมควรมีคนไทยคนไหน โดนชาวต่างชาติทำร้ายร่างกาย คนไทยผู้เป็นสุจริตชน ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยค่ะ จากผู้หญิงไทยคนหนึ่ง ผู้ถูกชายชาวต่างชาติคนหนึ่งทำร้าย (28 กุมภาพันธ์ 2024)”  


เรื่องนี้มีการแชร์อย่างมากในโซเชียลชาวภูเก็ต พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง  

-------------
วานนี้ (28 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวได้รับคลิป 2 คลิปจาก พญ.น้อง (นามสมมติ) อายุ 32 ปี  ซึ่งเป็นแพทย์เวชปฎิบัติทั่วไป ประจำคลินิก รพ.เอกชน ชื่อดัง ของ จ.ภูเก็ต 


โดยในคลิป เป็นการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันเกิดเหตุ ซึ่งรายละเอียดเป็นไปตามที่เฟซบุ๊กของคุณพ่อของหมอ ได้ลงรายละเอียดไว้  โดยยังคงเน้นย้ำในการขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน  เนื่องจากภรรยาของชาวต่างชาติที่เป็นคนไทย อ้างว่ามีลูกชายเป็นตำรวจ และรู้จักกับนายตำรวจใหญ่ของ จ.ภูเก็ต ซึ่งตนเองเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้แจ้งความไว้ที่ สภ.ถลาง เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป

-----------------

ด้าน พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง เปิดเผยกับทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้  ยืนยันว่า กรณีนี้ ตำรวจไม่ได้สนิทสนมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ตามที่มีการกล่าวอ้าง


ในวันเกิดเหตุ ก็มีการเจรจา และสายตรวจได้เสนอแนวทางไกล่เกลี่ย แต่ทั้งสองฝ่ายไกล่เกลี่ยนกันไม่ได้ จึงแนะนำให้ผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย และแจ้งความ เมื่อวันที่ 25 ก.พ .67


และในเช้า วันนี้ (29 ก.พ. 67) พนักงานสอบสวนได้นัดสอบปากคำคุณหมอ ผู้เสียหาย รวมทั้ง รวบรวมเอกสารใบตรวจร่างกาย และหลักฐานที่ผู้เสียหายมี เพื่อประกอบสำนวนคดี


ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า รู้จักกับนายตำรวจยศใหญ่ในพื้นที่ สามารถเคลียร์เรื่องได้นั้น

ผกก.สภ.ถลางยืนยันว่า คู่กรณีไม่ได้รู้จักกับตำรวจรายใดเป็นเพิเศษ คู่กรณีประกอบธุรกิจส่วนตัว อาจจะรู้จักตำรวจที่อื่นเป็นการส่วนตัว  แต่สำหรับตนเองนั้นไม่รู้จัก เพราะเพิ่งย้ายมาประจำการที่ สภ.ถลาง

-------------

ด้าน เพจ โหดจัง จังหวัดภูเก็ต ได้โพสต์ข้อความระบุว่า โหดจัง-#จังหวัดภูเก็ต อีกหนึ่งมุม #ต่างชาติ พูดแล้ว กรณีถีบคุณหมอที่ภูเก็ต มาพร้อมทนายความเข้าพบตำรวจ ยืนยันไม่ได้ถีบ มันเป็นอุบัติเหตุ มาฟังกันดูสัมภาษณ์ที่แรกกับโหดจัง !


โดยในคลิป เป็นการสัมภาษณ์เดวิดกับทนายความ โดยบอกว่าเดวิดสะดุดล้มบันได ทำให้ส่วนเท้าไปโดนคุณหมอ ซึ่งเดวิดก็เสียใจ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น อยากให้เข้าว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุ และไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งสามารถดูในคลิปได้ (แต่ขอเก็บไว้ก่อน ไม่สามารถเปิดเผยได้)


เดวิดยังบอกว่า เคยถูกบุคคลภายนอกบุกรุกเข้ามาภายในพื้นที่ส่วนบุคคล เลยระแวงว่าจะเกิดเหตุการณ์เดียวกันหรือไม่

-------------

วันที่ 28 ก.พ. 67 เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ระบุข้อความว่า


พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง กล่าวว่า วันที่เกิดเหตุมีการเจรจา และสายตรวจได้เสนอแนวทางในการไกล่เกลี่ย แต่ทั้ง 2 ฝ่ายไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ ตำรวจสายตรวจจึงแนะนำให้ผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย และแจ้งความ เมื่อวันที่ 25 ก.พ.67


พ.ต.อ.นิกร กล่าวต่อว่า ตำรวจไม่ได้สนิทสนมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่มีการกล่าวอ้าง และในเช้าวันที่ 29 ก.พ.67 พนักงานสอบสวนได้นัดสอบปากคำผู้เสียหาย ซึ่งเป็นคุณหมอมาสอบปากคำ รวมทั้งรวบรวมเอกสารใบตรวจร่างกาย และหลักฐานที่ผู้เสียหายมี เพื่อประกอบสำนวนคดี


ส่วนที่มีการระบุว่า รู้จักกับนายตำรวจยศใหญ่ในพื้นที่ สามารถเคลียร์เรื่องได้นั้นยืนยันว่า ไม่ได้รู้จักกับตำรวจรายใดเป็นพิเศษ คู่กรณีก็ประกอบธุรกิจส่วนตัว อาจจะรู้จักตำรวจที่อื่นเป็นการส่วนตัว แต่สำหรับตนไม่รู้จัก เพราะเพิ่งย้ายมาประจำการที่ สภ.ถลาง

-------------------
เพจ ชมรมSTRONGต้านทุจริตภาคใต้ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า


1. กรณีพิพาทจากข้อหาบุกรุก หากสังเกตให้ดี บริเวณชายหาดตรงนั้น มีลักษณะคล้ายหาดส่วนตัว แม้ว่าจะมีสถานะเป็นหาดสาธารณะ แต่ทางเข้าออกดูเหมือนว่าจะต้องผ่านวิลล่า ควรตรวจสอบเพิ่มเติมว่า หมอเข้าไปถึงชายหาดด้านหลังเขา ตรงวิลลา 23 ได้ด้วยวิธีไหน


เพราะจากภาพภ่ายแผนที่อากาศจะเห็นว่า โครงการ cape yamu ประกอบด้วยร้านอาหาร ที่หมอไปใช้บริการ ซึ่งเข้าทางด้านถนนด้านหน้า แต่ชายหาดจุดเกิดเหตุทำร้ายร่างกายเป็นด้านหลังของเกาะ ซึ่งอาจจะต้องเดินผ่านวิลล่าส่วนตัว ลงไปที่หาด ซึ่งอาจจะพิพาทตั้งแต่การเดินลงชายหาดแล้ว ไม่ใช่แค่นั่งพักตรงบันได มันจะเป็นร้านอาหาร แยกออกจากบริเวณวิลล่า ซึ่งฝรั่งจะถือสาความเป็นส่วนตัวมาก  ซึ่งจากข้อความคุณพ่อหมอบอกว่า หมอใช้ชายหาดตรงนี้เป็นประจำ ถามว่า เข้าไปที่หาดผ่านทางไหน อย่างไร

-------------

2. บันไดที่เกิดเหตุ จากภาพถ่ายดาวเทียมจะเห็นว่า อยู่บนชายหาด ซึ่งโดยปกติแล้ว การก่อสร้างบันไดรุกล้ำชายหาดจะไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย โดยมีข้อกำหนด ห้ามก่อสร้างในบริเวณระยะ 100 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง หรือประกาศกระทรวงทรัพยากรฯคุ้มครองสิ่งแวดล้อม


ทั้งนี้ ควรให้เทศบาลหรือ อบต.ในพื้นที่เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุว่า บันไดดังกล่าวรุกล้ำพื้นที่สาธารณะหรือไม่ หากอยู่ในแนวเขตที่ดินครอบครองกรรมสิทธิ์ ก็ควรตรวจสอบเพิ่มเติมว่า การก่อสร้างบันไดนั้น ตรงตามแบบที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างหรือไม่ โดยเฉพาะระยะเว้นจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

-------------

3. หากเป็นกรณีนั่งพักที่บันไดเฉย ๆ โดยหมอใช้ทางสาธารณะเข้าหาด ไม่ได้บุกรุกทางของวิลล่า 23 หรือวิลล่าส่วนตัวของใคร ไปที่ชายหาด ไม่น่าจะถือว่าเป็นการบุกรุก เพราะบริเวณบันได ไม่ได้มีรั้วกั้น หรือป้ายติดว่า เป็นสถานที่ส่วนบุคคล

-------------

4. กรณีตรวจสอบไม่พบโฉนดในระบบแผนที่โฉนดที่ดินของกรมที่ดิน อาจจะเป็นเพราะว่าที่ดินบริเวณนี้ เป็นที่ดินเอกสารสิทธิ์แบบ น.ส. 3 ก็เป็นได้

-------------

5. ทางเทศบาลควรตรวจสอบ และชี้แจงเรื่องใบอนุญาตก่อสร้าง และแบบแปลนที่ให้อนุญาต โดยเฉพาะบริเวณบันไดลงชายหาดว่า ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมอาคารหรือไม่ รวมถึงประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมด้วย

--------------
เพจ Phuket Times ภูเก็ตไทม์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า


พ่อหมอ ไม่เชื่อว่าโดนล้มใส่ ยืนยัน ว่า จะต่อสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อศักดิ์ศรี หลังเจอต่างชาติทั้งทำร้าย ด่า-เหยียดคนไทย


นายเกษม จันทร์ดำ พ่อของแพทย์หญิงที่กล่าวอ้างว่า โดนต่างชาติเตะทำร้าย จนช้ำเป็นแผลที่หลัง เปิดเผยว่า


หลังจากที่ทาง จนท.ตร.รับเป็นคดีแล้ว ทางลูกสาวก็ยืนยันว่า จะฟ้องศาลว่าถูกทำร้ายร่างกาย และจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ที่ถูกเหยียดหยามเรื่องเพศสภาพหญิงไทย


รวมทั้ง ไม่อยากให้คนไทยที่มาอยู่ภูเก็ต หรือคนภูเก็ต เจอกับเหตุการณ์แบบเดียวกับเธอ ในขณะที่เดินอยู่บริเวณชายหาดสาธารณะ


และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนการดูแลคนไทยในภูเก็ต แม้กระแสการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจจะบูมขึ้น แต่ไม่ควรจะละเลยคนไทยด้วยกัน เหตุที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เนื่องจากคำพูดที่ว่า "คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษคนไทย" จึงทำให้ลูกสาวรู้สึกว่า จะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด


ส่วนประเด็นที่คู่กรณี ที่ออกมาบอกว่า ไม่ได้เตะแต่เป็นการล้มใส่ ซึ่งประเด็นนี้อาจตั้งข้อสังเกตว่า หากเป็นการล้มใส่ของคนที่ตัวโตน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม น่าจะไม่ใช่แค่จุก และมีรอยแผลกลางหลัง แต่น่าจะล้มไปทั้งตัว และหากล้มใส่จริง มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปด่าลูกสาวของตน และเพื่อนที่ไปด้วยกัน แบบหยาบคาย ว่า 'อีดอก' และเหยียดว่า 'คนพื้นถิ่น-พื้นเมือง' และอ้างว่า รู้จักกับ นายตร.ยศใหญ่  


ส่วนตอนนี้ สภาพของลูกสาว แม้ว่าจะมีความระแวง และกังวล แต่เธอก็ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งทางครอบครัวก็เคารพสิทธิ และการตัดสินใจของเธอ

-------------






คุณอาจสนใจ