สังคม

แม่พาเณรร้อง ถูกพระอาจารย์เฆี่ยนตีกว่า 20 ที เหตุฝืนกฎมีโทรศัพท์ติดตัว

โดย paranee_s

4 ก.พ. 2567

652 views

ช่วงสายที่ผ่านมาที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ สายไหมต้องรอด นางสาวเอ (นามสมมุติ) โยมแม่ พร้อม เณรอายุ 14 ปี เดินทางมาพบนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้ช่วยเหลือ หลังลูกชายที่บวชเป็นเณรอยู่ ถูกพระอาจารย์ ของวัดดังในจังหวัดปราจีนบุรี ตีด้วยไม้หวาย และเตะเสยหน้าจนได้รับบาดเจ็บ สาเหตุเพียงเณรน้อย ไม่ยอมเก็บโทรศัพท์ ขณะเข้าเรียน


โดยนางสาวเอ ระบุว่า ลูกชายขอบวชเรียน ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนต่อมาในช่วงอายุ 11 ขวบ ได้มีการบวชเรียนที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวัดที่ตนเองมีความเคารพกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ซึ่งต่อมาพระอาจารย์ ได้แนะนำให้พาเณรลูกชาย เข้าโรงเรียนทางศาสนา จึงมีการย้ายมาเข้าเรียนที่วัดดังแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพย่านฝั่งธน ซึ่งก็ได้เรียนอยู่ที่วัดแห่งนี้มานานกว่า 3 ปี


และเป็นธรรมเนียมของการศึกษาทางธรรม ที่ในช่วงปลายปีตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมกราคม จะมีการส่งเณรที่เรียนทางศาสนา ไปเรียนเพิ่มเติมในวิชาภาษาบาลี คล้ายกันเก็บตัวตามวัดต่าง ๆ ในต่างจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดปัญหา


จนมาช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตนเองได้รับการติดต่อมาจากญาติโยมคนหนึ่ง ที่เดินทางมาทำบุญที่วัดซึ่งลูกชายกำลังศึกษาอยู่ในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี โดยทางญาติโยมคนนี้ได้แจ้งว่าลูกชาย ที่เป็นเณรอยู่ มีร่องรอยบาดแผลเหมือนถูกตีเป็นจำนวนมากตามร่างกายและมีอาการบาดเจ็บ อยากให้


ตนเองจึงเดินทางไปรับเณรลูกชาย จึงทำให้เห็นว่ามีร่องรอยถูกทำร้ายตามร่างกายเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการสอบถาม ทำให้รู้ว่าถูกพระอาจารย์คนหนึ่งเฆี่ยนตี โดยสาเหตุที่ลูกชายไม่ยอมเอาโทรศัพท์ไปเก็บ


ยอมรับว่าหลังจากที่เห็นสภาพร่างกายของเณรลูกชาย รับไม่ได้ เพราะตนเองไม่เคยตีลูกเลยแม้แต่ครั้งเดียว และการที่ลูกชายมาบวชก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ซ้ำทางพระผู้ใหญ่หลังจากที่ตนเองพยายามติดตามเรื่องว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรกับตัวพระที่ก่อเหตุรายนี้ ก็มีการออกมาปกป้องอ้างว่า เป็นเรื่องปกติที่พระสงฆ์จะตีพระสงฆ์ด้วยกันเอง หากทำผิด


ซึ่งตนเองได้พยายามอธิบายว่าลูกชายเป็นเณรไม่ใช่พระ แต่ก็ได้รับการยืนยันว่าสิ่งที่ทำไปไม่ผิด เพราะเณรลูกชายทำผิดกฎของทางวัดที่ตั้งไว้ไม่ให้พกโทรศัพท์มือถือ ตนเองจึงกลับมารักษาลูกชายและยืนยันว่าจะดำเนินการกับทางพระที่ก่อเหตุทำร้าย เณรลูกชายของตนเองให้ถึงที่สุด


เบื้องต้นจากการสอบถามเณร ทราบว่าเณรมีโทรศัพท์ 2 เครื่อง เนื่องจากเครื่องส่วนตัวไม่มีเงิน ไม่สามารถโทรออกได้ และอินเทอร์เน็ตก็ไม่ดี ทำให้ติดต่อกับทางครอบครัวได้ยาก เพื่อนเณรที่วัดในกรุงเทพจึงให้ยืมโทรศัพท์มือถือมา


เมื่อมาถึงที่วัดแห่งนี้ ก็ทราบว่ามีกฎในการห้ามพกโทรศัพท์มือถือ จึงเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องที่สามารถโทรออกได้ไปฝากแต่ด้วยความที่เณรเอาไปฝากล่าช้าจึงถูกทำโทษไปแล้ว 1 รอบ ทำให้เกิดการหวาดกลัวในการจะนำโทรศัพท์อีก เครื่องไปฝาก


ในเวลาต่อมา เพื่อนเณรมาเห็นว่าตนเองมีโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องจึงมีการนำไปฟ้อง พระอาจารย์พี่เลี้ยง จึงถูกเรียกไปทำโทษหน้าชั้นเรียน โดยพระอาจารย์รูปนี้ ได้สั่งให้เตรียมอยู่ในท่าวิดพื้น ก่อนจะใช้ไม้หวายตีตามร่างกายของเณรมากกว่า 20 ครั้ง และสั่งให้ตนเองกลับขึ้นหอนอน และไม่ยอมให้ลงมาทำวัดด้านล่าง เพราะบอกว่าเดี๋ยวคนอื่นจะเห็น


เณรจึงเก็บตัวอยู่ในหอนอน แต่ต้องลงมาเอาอาหารที่เพื่อนเณรไปรับมาจากหอฉัน นำมาส่งให้จึงพบกับญาติโยม ที่มาทำบุญที่วัด ญาติโยม จึงขอเบอร์โยมแม่และโทรมาแจ้งเรื่องดังกล่าว


ด้านนายเอกภพ ระบุว่าเบื้องต้นตนเองจะช่วยประสานความคืบหน้าคดีที่ สภ. ปราจีนบุรี เนื่องจากส่วนตัวมองว่า พระไม่สมควรทำแบบนี้ และทางกระทรวงศึกษาก็ยังมีการออกกฎห้ามเฆียนตี ดังนั้นจึงไม่สามารถทำได้


ตนเองจึงอยากให้ทางตำรวจมาตรวจสอบพฤติกรรมของพระอาจารย์รูปนี้ เนื่องจากจากการพูดคุยกับทั้งตัวโยมแม่และตัวเณร ทำให้ทราบว่ามีเณรรูปอื่น ๆ ที่โดนทำร้ายร่างกายแบบนี้ทั้งการตบหน้าตีตามร่างกาย อีกเป็นจำนวนมาก


ต่อจากนี้ตนเองจะพาเณรและโยมแม่ไปพบกับเจ้าอาวาส วัดเกาะ สุวรรณาราม ที่อยู่ในพื้นที่สายไหม เพื่อขอความเห็น ว่าการกระทำแบบนี้ในทางพระศาสนาสามารถทำได้หรือไม่


โดยในเวลาต่อมา พระครูสรภัญญ์พิสุทธิ์ (รุ่งแสง ฐิติญาโณ) เจ้าอาวาสวัดเกาะสุวรรณาราม ระบุว่า การรับฟังข้อเท็จจริงจากทั้งโยมแม่และตัวเณร จึงอยากทำความเข้าใจว่าโรงเรียนทางศาสนา หรือวัดที่เป็นอารามการศึกษา ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎของกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับเรื่องการลงโทษหากนิสิตนักศึกษาหรือนักเรียนที่มาเรียน จะทำผิดกฎต่างๆ


หากถามว่าในอดีตมีการลงโทษแบบนี้หรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่ามี แต่เป็นระยะเวลาที่นานมาก ก็จะจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาของทางกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเมื่อทางกระทรวงมีการปรับกฎดังกล่าว สถาบันทางการศึกษาของศาสนาก็ต้องปรับรูปแบบการดำเนินการด้วยเช่นกัน เพราะการศึกษาของพระศาสนาก็อยู่ภายใต้กฎของกระทรวงศึกษาธิการเช่นเดียวกันกับโรงเรียนปกติทั่วไป


ดังนั้นหากทางกระทรวงศึกษาธิการออกกฎห้ามทำโทษโดยวิธีการรุนแรง ทางศาสนาหรือโรงเรียนทางศาสนาต่างๆ ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน


ปัจจุบันต้องยอมรับว่าผู้ที่เข้ามาบวชเรียนหรือศึกษาทางธรรมมีน้อยลงอย่าง หากสถาบันการศึกษาทางศาสนาเหล่านี้ไม่มีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และยุคสมัย อาจส่งผลให้ผู้ที่เข้ารับการบวชเรียนน้อยลงไปมากกว่านี้ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อพระศาสนาได้


จึงอยากขอให้ทางพระครูต่างๆ หรือสถาบันการศึกษายึดแนวทางหลักปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสนา และปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และกฎระเบียบของทางกระทรวง ศึกษาธิการอย่างเคร่งครัด อย่ายึดถือเอากฎหรือความรู้สึกส่วนตัว เพราะอาจส่งผลต่อพระศาสนาได้


โดยในเรื่องนี้หากทางครอบครัวของทางเณรยืนยันจะดำเนินการทางคดีก็ต้องดำเนินคดีที่ตัวบุคคลไม่เกี่ยวกับสถาบันหรือองค์กร โดยขั้นตอนของทางสงฆ์จะมีระเบียบที่สงฆ์ต้องปฏิบัติอยู่ 3 ลำดับคือกฎหมาย พระธรรมวินัย และจารีตประเพณี ซึ่งหากตัวพระรูปนั้นโดนดำเนินคดีทางกฎหมาย และมีโทษหรือถูกดำเนินการที่ต้องถูกจำคุก ก็ต้องพ้นสภาพตามพระธรรมวินัย ด้วยเช่นกัน แต่หากถูกดำเนินการทางคดีไม่ถึงขั้นติดคุก ก็ถือเป็นลหุโทษที่สามารถตรงอาบัติได้เช่นกัน ในส่วนนี้ต้องแยกเป็นประเด็นและการตีความตามกฎหมาย


แต่ยืนยันว่าโดยหลักปฏิบัติแล้ว หากพบว่าเณรกระทำความผิดกฎของทางโรงเรียน ควรจะเรียกมาตักเตือนหรือเรียกผู้ปกครองมาทำการตักเตือนตามลำดับขั้นตอนไม่ใช่การลงโทษด้วยการใช้ความรุนแรงแบบนี้

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ