เลือกตั้งและการเมือง

“สุทิน” ลุกแจงทุกประเด็นปม “งบกลาโหม” เปิดอกยังเป็นคนเดิม ไม่ได้ซูเอี๋ย-อวยกองทัพ

โดย paranee_s

4 ม.ค. 2567

64 views

วันนี้ (4 ม.ค. 2567) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วันที่ 2 ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวอภิปรายชี้แจงกว่า 40 นาที เกี่ยวกับงบประมาณกระทรวงกลาโหม ว่า ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกคน กระทรวงกลาโหมเป็นกระทรวงที่พวกเราได้ตั้งคำถามมาตลอด รวมถึงตน ในคราวเป็นฝ่ายค้านก็ได้ตั้งคำถามมาโดยตลอด



เบื้องต้น ขอเรียนว่างบประมาณของกระทรวงกลาโหม เดิมเคยคิดว่าสูง แต่พอมาดูจริงๆแล้ว ถ้าเทียบกับทุกกระทรวงใน 20 กว่ากระทรวงของรัฐบาล กระทรวงกลาโหมอยู่ในอันดับที่ 4 เมื่อไปเทียบกับงบกลาง อยู่อันดับที่ 5-6 เพราะฉะนั้น ไม่ถือว่าเยอะ และเมื่อถามต่อว่างบกระทรวงกลาโหมนี้ ในยามวิกฤตทำไมไม่ลด ตนขอเรียกว่าถ้าดูจริงๆแล้ว มีการลดงบประมาณงบประมาณอยู่ แต่วิธีการจัดงบประมาณกองทัพไม่เหมือนกับกระทรวงอื่น เป็นข้อจำกัด ไม่ได้จัดทำข้อมูลงบประมาณจากปีเดิม



นายสุทิน ย้ำว่า งบกระทรวงกลาโหมไม่ได้เทียบกับฐานเดิม แต่กระทรวงกลาโหมมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของประเทศด้วย เมื่อประเทศสงบ ไม่มีภัยคุกคาม ก็จัดระดับหนึ่ง แต่ถ้ามีสัญญาณว่ามีภัยคุกคาม จำเป็นจะต้องจัดงบประมาณเพิ่มขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือการจัดงบประมาณกองทัพต้องดูคู่แข่ง ดูประเทศที่คิดว่าเป็นภัยคุกคาม ถ้ามีการพัฒนาศักยภาพของเขาไปไกล แล้วเราจะเท่าเดิมไม่ได้ เราจะต้องจัดสู้เขา เพราะฉะนั้น วิธีคิดการจัดงบประมาณกองทัพกระทรวงกลาโหมในบางยุค แม้บางวิกฤต แต่เราก็ต้องเพิ่มศักยภาพเพื่อสู้กับเขา





นายสุทิน กล่าวต่อว่า เราไม่ลดก็เหมือนลด เพราะมันเป็นการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ลดลง ดูตัวเลขแล้วยอดรวมอาจจะสูงขึ้น แต่สัดส่วนเมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดิน จะเห็นว่าลดลง เมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินในปีนี้ถือว่าเป็น 5.7% แสดงว่างบกระทรวงกลาโหมจัดแล้ว มีสัดส่วนลดลง แม้ยอดจำนวนอาจจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และหากเทียบในอาเซียน เราไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่งบความมั่นคงสูง



นายสุทิน ย้ำว่า การปฏิรูป จะทำรวดเร็วดั่งใจไม่ได้ มันต้องคำนึงถึงขวัญกำลังใจของกำลังพล ตนเคยอยู่กระทรวงศึกษาธิการ เคยปฏิรูปการศึกษา จะปรับลดตำแหน่งแต่ละตำแหน่ง หาที่อยู่ให้เขาแทบตาย ถึงจะหมดไป 1 ตำแหน่ง แล้วค่อยปิดไม่บรรจุเพิ่ม



“แล้วยิ่งกระทรวงกลาโหม เป็นกระทรวงที่อ่อนไหวมากเกี่ยวกับความมั่นคง เราจะปฏิรูป เราต้องดูว่ากระทบศักยภาพขีดความสามารถกำลังรบของกองทัพหรือไม่ ถ้าเราไปปฏิรูปปุ๊บปั๊บ ก็จะไปกระทบขวัญกำลังใจของกำลังพล มันก็เสี่ยง หรือไปลดพวกอาวุธนู่นนี่นั่น มันก็เสี่ยง ดังนั้น ต้องใช้เวลาในการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกระทรวงอื่นเนี่ยต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้นกระทรวงกลาโหมก็ต้องใช้เวลา” นายสุทิน กล่าว





นายสุทิน ระบุว่า เพื่อให้ลดรวดเร็วกว่านี้ นายพลซึ่งท่านว่ามีเยอะ ตอนนี้มีอยู่ 700 กว่าคน ในปี 2570 จะลดลงไป 380 คน คิดเป็น 50% แต่ก็มีเสียงอยากได้เร็วกว่านี้ ตนก็เลยทำโครงการ early retire สูตรใหม่ ได้ยศได้เงิน แล้วเราประมาณการว่านายพลจะเข้าสู่โครงการอย่างรวดเร็ว จะทำให้กำลังพลลดลงไม่ต้องถึงปี 2570 ยืนยันว่าไม่เป็นการเพิ่มงบประมาณ เพราะหากให้นายพลเราอยู่จนถึงเกษียณ อาจต้องจ่ายเงินเยอะกว่านี้





นายสุทิน ระบุอีกว่า ท่านจะได้สัมผัสสิ่งที่เปลี่ยนไปในกระทรวงกลาโหม ต่อไปนี้จะมีข้าราชการพันธุ์ใหม่ ข้าราชการพลเรือนในกระทรวงกลาโหม หมายความว่าถ้าไปในกระทรวงกลาโหม จะไม่ได้มีเฉพาะทหาร แต่จะมีชุดสีกากีด้วย ต่อไปใครบอกกระทรวงกลาโหมมีสีเขียว ต่อไปนี้จะมีสีกากีด้วย หมายความว่าบางที่บางตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องติดยศ ไม่จำเป็นต้องมียศ เป็นข้าราชการพลเรือนธรรมดา ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดสีเขียว จะเป็นภาพที่นุ่ม ซอฟต์ลง



“พลเรือนในกระทรวงกลาโหม จะเป็นข้าราชการกลุ่มที่บวกลบคูณหารแล้ว ภาระงบประมาณจะลดลง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่จะเกิดขึ้น ส่วนที่ถามว่าทำไมงบประมาณกระทรวงกลาโหมยังสูงอยู่ ขอตอบว่าผมเพิ่งมาได้แค่ 3 เดือน จะให้ลดลงเลย ก็คือต้องปลดหลายตำแหน่ง งบก็จะลด แต่ทำไม่ได้ คนไม่ใช่อิฐ” นายสุทิน กล่าว



นายสุทิน ขยายความว่า ขวัญกำลังใจเป็นเรื่องอ่อนไหวมากสำหรับทหารทั่วไป เพราะฉะนั้นงบประมานจะเริ่มเห็นลดลงในปีต่อไปๆ สัมพันธ์กับกำลังพลที่ลดลง ปีนี้จึงยังไม่เห็น 3 เดือนยังทำอะไรไม่ได้ ยังปลดใครไม่ได้ สิ่งที่จะทำต่อไปคือ นอกจากที่ฝ่ายกองทัพทำ จะได้เห็น 3 โมเดล ได้แก่ การยุบหน่วย การควบรวม และการปิดอัตรา วิธีเหล่านี้เท่านั้นที่จะทำให้ลดกำลังพลได้แบบไม่มีผลกระทบ



ส่วนที่ถามมาเรื่องทหารเกณฑ์ ตนเคยตอบแล้วว่าการลดการเกณฑ์ทหาร ถือเป็นการปิดทางตัวเอง เมื่อเราลดการเกณฑ์ทหารมาแล้ว เราจะไปเกณฑ์อีกไม่ได้ เรียกใครไม่ได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วในยุโรป สงครามนาโต้ รัสเซียยูเครน ตนจึงทำวิธีจูงใจ ให้คนมาเกณฑ์ทหารจำนวนมาก โดยมีการปรับลดยอดลงก่อน ปีนี้ยอดรับทหารลดลงเหลือ 80,000-85,000 คน และปีนี้เชื่อว่าจะมีคนมาสมัครใจเยอะ ต่อไปนี้เงินเดือนทหารเกณฑ์เราจะไม่หักเบี้ยประกอบเลี้ยง จะ ได้รับการศึกษา ได้เรียน





ตนเซ็น MOU กับกระทรวงศึกษาฯ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ คนที่มาเป็นทหารเกณฑ์ปลดประจำการปุ๊บ คุณเรียนต่อได้ในระบบที่ออกแบบร่วมกัน ตั้ง Learning Center สร้างศูนย์การเรียนรู้ค่ายฝึก ต่อไปเด็กมีโอกาสรับราชการ นอกเหนือจากนั้น คณะทำงานสรุปแล้วว่าคนเป็นทหารเกณฑ์ต่อไปนี้มีโอกาสได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมด นอกจากนี้ไม่เท่านั้น เด็กซึ่งเป็นทหารเกณฑ์เปลี่ยนมาเป็นทหารประจำการจะได้มีโอกาสทำงานดีๆ



ในส่วนของคำถามที่มีการถามว่ากำลังพลต้องมีเท่าไหร่ นายสุทิน ชี้แจงว่า อะไรที่ตอบได้ก็ตอบบางอย่างเป็นความลับ หรือไม่เป็นความลับแต่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรพูด กำลังพลเราไปบอกให้เขารู้ทั้งประเทศก็ไม่ค่อยดี แต่เอาเฉพาะทหารประจำการหรือทหารเกณฑ์ มีเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เหมือนกับการจัดสรรงบประมาณ ถ้าสถานการณ์มันตึงเครียด มีภัยคุกคาม สุ่มเสี่ยงว่าจะมีเกิดปัญหาสงคราม ก็เปิดรับเยอะ



ส่วนเรื่องเรือดำน้ำ นายสุทิน กล่าวว่า ต้องขอความเป็นธรรมด้วยว่าเรื่องเรือดำน้ำรัฐบาลก่อนเขาทำไว้ ตนเข้ามาแก้ ไม่ได้โยนความผิด แต่จำเป็นต้องพูด ก็คือทำไว้ในรัฐบาลก่อน เราเองก็เคยอภิปรายเขาด้วยกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้ตนมาแก้ ตนมาดูแล้ว แก้อย่างไรก็โดนหมด ตอนเป็นฝ่ายค้านก็เคยด่า ตนก็โยนหินถามทางไปว่าให้เอาเรือฟริเกตหรือไม่ เพราะอยากฟังกองทัพ อยากฟังสังคม อยากฟังประชาชน และอยากฟังเราด้วย ซึ่งก็โดนทั้ง 2 ทาง



“เรือดำน้ำซื้อมาหลายปี จ่ายเงินเขาไปแล้วด้วยหลายงวด หลายคนบอกยกเลิกสัญญาเลยสิ ยกเลิกเลย ถ้ายกเลิกแล้วได้เงินคืน ผมยกเลิกวันพรุ่งนี้ แต่ถ้ายกเลิกแล้วเงินไม่ได้คืน เรื่องอะไรเราจะไปเสียเงินทิ้งตั้ง 6,000 กว่าล้านแล้ว เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาเรือดำน้ำในวันนี้ หนึ่ง ยึดประโยชน์ของกองทัพเรือ ต้องเห็นใจเขาอยากได้อะไรต้องคิดถึงใจเขาก่อน สอง ประโยชน์ของประเทศ ก็คือเม็ดเงิน สาม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ง้อเขาหรือเปล่า ไม่ได้ง้อ แต่ถ้าคิดฉลาด แล้ววันนี้ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่อยากจะทำร่วมกับจีน เรามาขอตัวเลขยุทธศาสตร์นี้เราจะมีผลประโยชน์ร่วม 200,000 ล้าน แต่ถ้าเราทะเลาะกันด้วยเงินเพียง 6,000 ล้านบาท แล้วเราเสียเงิน 200,000 ล้าน ถือว่าไม่ฉลาด วันนี้จึงคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ” นายสุทิน กล่าว



นายสุทิน กล่าวว่า เรื่องดำน้ำจะจบอย่างไร วันนี้ต้องรอดูอัยการสูงสุดจะตอบกลับมาอย่างไร อาจจะเดินหน้าแบบเดิม แต่เงิน 6,000 พันล้านบาท ต้องไปเสียทิ้ง นอกจากนี้เรายังเคยผิดข้อตกลงด้วย เรารู้ข้อเท็จจริงข้อนี้ จึงต้องระมัดระวัง เราเคยจ่ายเงินไม่ตรง เราเคยอ้างเรื่องโควิด เขาก็อนุโลมให้



นายสุทิน ยังชี้แจงถึงการกู้เรือหลวงสุโขทัยด้วยว่า การดึงเรือขึ้นมา ทีโออาร์ต้องกู้เรือในสภาพที่สมบูรณ์ทั้งลำ ไม่เอาชิ้นส่วน เพื่อพิสูจน์หาหลักฐาน แต่โคลนทะเลท่วมเรือจำเป็นต้องนำโคลนออก ซึ่งไม่ใช่การทำลายหลักฐาน เพราะตนเชื่อว่าหลักฐานไม่สามารถทำลายได้ด้วยการล้างโคลน ตนยืนยันว่าการดำเนินการไม่มีนอกไม่มีในแน่นอน ส่วนประเด็นกองทัพเรือที่มีพันธกิจที่เกี่ยวกับรันเวย์ที่อีอีซี รวมถึงการกู้เงิน 1.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ตนทราบข้อเท็จจริงว่ากองทัพเรือไม่อยากทำ แต่รัฐบาลขอร้องให้ช่วยเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนอีอีซี โดยให้รับผิดชอบสนามบินอู่ตะเภา ที่กองทัพเรือเป็นเจ้าของโดยทำให้เป็นสนามบินพาณิชย์ รวมถึงใช้เนื้อที่กองทัพเรือน 7,000 ไร่เพื่อทำอีอีซี



“กองทัพต้องตั้งงบประมาณเพื่อลงโครงการอีอีซี ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำมาใช้ในโครงการอีอีซี รวมถึงดำเนินการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการ ดังนั้นอีอีซีเป็นภารกิจที่จำเป็น ซึ่งไม่ใช่การเพิ่มงบทั่วไป และไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่โปร่งใสเพราะบอร์ดอีอีซีจับตาดู” นายสุทิน ชี้แจง



ส่วนเรื่องของกองทัพเรือที่มีผู้อภิปรายติดใจว่ากองทัพเรือไปยุ่งกับภารกิจ EEC ขอกู้เงินสร้างรันเวย์ สนามบินอู่ตะเภา นายสุทิน ชี้แจงว่า ภารกิจนี้ตนถามมาหมดแล้ว กองทัพเรือปฎิเสธ ไม่ได้อยากทำ เพราะภารกิจหลักคือการรบ แต่รัฐบาลขอร้องกองทัพเรือต้องช่วยต้องเป็นองคาพยบหนึ่งในการขับเคลื่อน เพราะต้องมีสนามบินลง รัฐบาลไปสร้างสนามบินใหม่ ก็เล็งไปที่อู่ตะเภา



“อยากได้สนามบินอู่ตะเภา แล้วไม่คุยกับกองทัพเรือได้หรือ ไม่ได้ รัฐบาลก็ต้องจีบ พูดตรงๆ ก็ต้องจีบเชิงบังคับ สั่งให้กองทัพเรือเป็นหนึ่งในคณะกรรมการภาคีที่ต้องขับเคลื่อนอีอีซีโดยรับผิดชอบสนามบิน” นายสุทิน กล่าว



“เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กระดูกแขวนคอผมก็คุยกับสำนักงบ ผมบอกสำนักงบครับงบก่อนหรือแยกให้ได้หรือไม่งบที่เราขอไปให้ EEC แยกไปอย่ามานับรวมของกระทรวงพอมานับรวมพวกผมก็ป่อง ก็โดนด่า”





นายสุทิน ชี้แจงต่อประเด็นที่วิจารณ์เรื่องการซื้ออาวุธระบุว่ายุคสุทินดาวน์น้อย เพราะต้องการผ่อนนาน แต่ข้อเท็จจริงคือ มีเม็ดเงิน 15% ต้องจ่ายล่วงหน้าที่เหลือต้องจ่ายจริง ทั้งนี้ขอเงินดาวน์ไป 20% แต่สำนักงบประมาณตัดเหลือ 15% เพราะปีงบประมาณ 67 เหลือเวลาใช้งบเพียง 4 เดือน กังวลว่าใช้งบประมาณไม่ทัน ไม่ใช่กรณีดาวน์น้อย เพื่อผ่อนนาน



ขณะที่ประเด็นทหารกองพลพัฒนา ตั้งงบน้ำซ้ำซ้อนกับแหล่งน้ำอื่น 30% ทำให้คนเข้าใจผิด เพราะนำงบน้ำบาดาลมาเปรียบเทียบ ทั้งที่ยืนยันว่าตั้งงบไม่ซ้ำซ้อน เพราะจะสำรวจพื้นที่ก่อน



“ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ลืมจุดยืนเดิม และต้องการให้กองทัพทันสมัย พยายามทำทุกอย่าง แต่ต้องใช้เวลา กลยุทธ์ขอเวลาพิสูจน์ แต่ยืนยันไม่เข้ามาเพื่อซูเอี๋ย หรืออวยกองทัพ” นายสุทิน กล่าว

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ