อาชญากรรม

จบมหากาพย์ 12 ปี คุกจำเลยคดี ‘พลทหารวิเชียร’ ถูกซ้อมตายในค่ายฯ

โดย attayuth_b

24 พ.ย. 2566

630 views

น.ส.นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวของ พลทหารวิเชียร เผือกสม ที่ถูกซ้อมทรมานจนเสียชีวิต ภายในค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อปี 2554

โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า สิ้นสุดการต่อสู้กับอำนาจ ยศ และเงิน เอาคนผิดทุกนายให้ออกจากกองทัพบกและได้รับโทษจำคุก

ตลอดระยะเวลา 12 ปี 5 เดือนกว่า ที่ลุกขึ้นสู้ไม่ถอยเพื่อตามหาความยุติธรรมในคดีพลทหารวิเชียร เผือกสม ตั้งแต่เพิ่งขึ้นปี 2 จนถึงตอนนี้ เมย์ผ่านเรื่องราวมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นข่มขู่ครอบครัว ถูกขู่ฆ่า คนมีอำนาจช่วยเหลือคนผิด ความช้าล่าของกระบวนการยุติธรรม และการกลายเป็นผู้ต้องหาถูกจับกุมตัว

วันนี้เมย์ทำสำเร็จแล้วนะคะ เมย์พิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าความถูกต้องและความยุติธรรมอยู่เหนืออำนาจและเงิน ถึงเป็นลูกนายพล มีทหารยศใหญ่ที่เลือกพวกพ้องมากกว่าความถูกต้องช่วยเหลือทุกขั้นตอน แต่ถ้าทำผิดก็ได้รับโทษทางกฎหมาย

น.ส.นริศราวัลถ์ ระบุต่อว่า 24 พ.ย. 2566 มณฑลทหารบกที่ 46 มีคำพิพากษา จำเลยที่ 1 ร้อยโทลูกนายพล จำคุก 2 ปี (คนที่แจ้งความจนเมย์ถูกจับกุมตัวเป็นผู้ต้องหา และใช้เวลาต่อสู้ 3-4 ปี จนอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง) จำเลยที่ 2 ร้อยตรี จำคุก 4 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 4-5, 7-9 จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 6 เสียชีวิต และ จำเลยที่ 10 หลบหนีตามหมายจับศาลทหาร

ทั้งนี้ ศาลทหารไม่มีอุธรณ์และฎีกาสิ้นสุดแค่การตามหาความยุติธรรม แต่ไม่สิ้นสุดหน้าที่ความรับผิดชอบ สิ่งที่ต้องทำต่อไป คือ ตามกองทัพบกเรื่องไล่เบี้ยค่าสินไหมทดแทน 7 ล้านบาทที่ใช้ภาษีประชาชนจ่ายให้กับครอบครัวเมย์ในคดีแพ่ง โดยกองทัพบกต้องตามไล่เบี้ยคืนจากจำเลยทั้ง 10 คนมาคืนให้กับเงินภาษีตามกฎหมายต่อไป

สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นหลังจาก น.ส.นริศราวัลถ์ ที่เป็นหลานสาวของ พลทหารวิเชียร ผู้เสียชีวิต เป็นผู้รับมอบอำนาจจากนางประเทือง เผือกสม เป็นผู้ฟ้องคดี ที่มาของเรื่องราวทั้งหมด อ้างอิงตามรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของกองทัพภาคที่ 4 ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุพลทหารวิเชียร ลาสิกขาบทมาเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2554 และสมัครเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ผลัดที่ 1/54 เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2554

ต่อมาหลบหนีจากหน่วยฝึก 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2554 ครูฝึกได้ตัวมาในวันเดียวกัน และวันที่ 29 พ.ค.2554 ครูฝึกได้ตัวมาในวันที่ 1 มิ.ย.2564

จากนั้นเริ่มเข้าสู่การลงโทษ ช่วงก่อนเที่ยง ครูฝึกยศร้อยตรีที่ลงโทษด้วยการตบหน้า 2 ครั้ง ให้กินพริกสด 3-4 เม็ด กับข้าว 1 จาน พอเวลา 12.40 น. สั่งให้พลทหารผู้ช่วยครูฝึก 2 นาย นำพลฯ วิเชียรไปหลังหน่วยฝึกหน้าห้องน้ำ เพื่อปรับปรุงวินัย ให้ออกกำลังกายบริหาร กระโดดกบ แองการู ท่ายุบสะโพก ให้แก้ผ้าเหลือกางเกงในตัวเดียว

จากนั้นพาไปพบ ’ร้อยโท’ ซึ่งสั่งให้ลากไปปรับปรุงวินัยต่อ โดยมีพลทหารจับขาพลฯวิเชียรลากไปกับพื้นปูน จน พลฯ วิเชียรร้องด้วยความเจ็บปวดและเมื่อไปปรับปรุงวินัยที่หน้าห้องน้ำ มีการรุมเตะ กระทืบที่ขาและลำตัวของพลฯ วิเชียร ใช้เกลือทาบริเวณแผล ใช้เท้าเหยียบหน้าอก ใช้เวลาปรับปรุงวินัยอยู่ 2 ชั่วโมง จึงนำตัวพลฯ วิเชียรไปอาบน้ำ และพาไปห้องพยาบาล ทายาให้นอนพักบนเตียงผ้าใบแต่ยังไม่จบเท่านั้น มีทหารอีก 5 นายมารุมเตะด้วยหัวรองเท้าคอมแบต โดยมีร้อยตรีนั่งดูอยู่ที่เตียงพยาบาล ตามไปกระทืบถึงหน่วยพยาบาล

จากนั้นเวลา 17.45 น. สิบเอกเรียกรวมพลทั้งหมดไปรับประทานอาหารเย็น พร้อมให้แบกพลฯ วิเชียรจากห้องพยาบาล ใช้ผ้าขาวห่อตัวเหลือแต่ใบหน้าพร้อมมัดตราสังให้เหมือนศพ ตั้งขบวนแห่และพูดไว้อาลัยเหมือนแห่ศพ

จากนั้นพลฯ วิเชียรถูกให้ใส่กางเกงในตัวเดียวนั่งกินข้าวบนก้อนน้ำแข็ง มีครูฝึกเอาน้ำแข็งมาประคบ ให้กินข้าวกับกระเทียม แล้วแบกร่างพลฯ วิเชียรมาหน้าหน่วยฝึก ใช้น้ำแข็งทับหน้าอก

เมื่อเวลา 18.45 น. พลฯ วิเชียรถูกสั่งทำโทษให้หมอบ-ลุก เมื่อทำช้าก็ใช้ไม้ไผ่ตีไปที่ลำตัว หลัง ก้น ขา จนถึงปลายเท้า ใช้เท้าเตะชายโครง หน้าอก กระทืบท้ายทอย จนคางกระแทกพื้นเป็นแผลแตก ใช้เท้าเตะไปที่หน้าจนเลือดออกปาก แม้พลฯ วิเชียรจะก้มกราบบอกเจ็บและจะไม่ทำอีกแล้ว แต่สิบเอกก็ไม่หยุดกระทำ แถมยังใช้ไม้ตีสลับเตะ จากนั้นถูกร้อยตรีแย่งไม้ไป สิบเอกพูดว่า "ไม่มีไม้ใช้มือใช้เท้าแทนก็ได้" พร้อมท้าให้ไปฟ้องผบ.ทบ.ต่อหน้าทหารใหม่ 200 คนที่เข้าแถวอยู่ 23.00 น. หยุดทำร้ายพร้อมเรียกพลฯ วิเชียรไปคุย จากนั้นสั่งขึ้น โรงนอนเวลา 01.00 น. ของวันที่ 2 มิ.ย. 2554 ซึ่งเพื่อนทหารเกณฑ์ ระบุว่าพบร่างกายบอบช้ำ มีรอยบวมหลายแห่ง ใต้คางมีแผลลึก พลฯ วิเชียรร้องขอให้พาไปโรงพยาบาลเพราะเจ็บปวดมาก แต่ไม่มีใครกล้าพาไป

กระทั่งวันที่ 3 มิ.ย. 2554 เมื่ออาการหนักมาก จึงส่งตัวไปโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ทางโรงพยาบาลระบุว่าอาการของพลฯ วิเชียร มีอาการหนักเกินขีดความสามารถของแพทย์ที่จะรักษาเยียวยาได้ จึงส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ต่อทันที

ต่อมาวันที่ 4 มิ.ย. 2554 พลฯ วิเชียรเข้าไอซียู แพทย์ระบุชีพจรต่ำมาก การตอบสนองของร่างกายไม่มี อาการอยู่ในขั้นโคม่า จนกระทั่งวันที่ 5 มิ.ย. เวลา 23.05 น. ที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส พลฯ วิเชียร เผือกสม เสียชีวิตในวัย 26 ปี แพทย์ลงความเห็นสาเหตุการตายว่ามาจากไตวายเฉียบพลันจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจากการถูกรุมซ้อมทำร้ายร่างกาย เป็นเหตุการณ์ในค่ายทหารที่ควรจะผลิตบุคลากรมารับใช้ประเทศ กลับกลายเป็นสถานที่ที่ทำให้มีคนต้องตาย!??

น.ส.นริศราวัลถ์ ที่ขณะนั้นเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับหลายหน่วยงาน แต่ก็ไม่คืบหน้า มีการอ้างเรื่องความรับผิดชอบว่าเป็นของหน่วยงานต่างๆ จนกระทั่งชัดเจนว่าเรื่องดังกล่าวต้องอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ต่อมาสรุปสำนวนส่งอัยการศาลทหาร แล้วจึงยื่นฟ้องต่อศาลทหารเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2563 ใช้เวลาทั้งหมด 9 ปี / จนกระทั่งศาลมณฑลทหารบกที่ 46 ประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2564

ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา น.ส.นริศราวัลถ์ ต้องเผชิญกับแรงกดดันและคดีความต่างๆ / โดยเมื่อวันที่ 27 ก.ค.2559 น.ส.นิริศราวัลถ์ หรือเมย์ ถูกตำรวจจากศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนใต้ ร่วมกับตำรวจสน.มักกะสัน บุกจับกุม ขณะทำงานอยู่ที่กองกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก่อนคุมตัวลงใต้ไปดำเนินคดีที่สภ.เมืองนราธิวาส

ซึ่งตำรวจระบุว่าเป็นคดีที่ ร.อ.ภูริ เพิกโสภณ (ยศในขณะนั้น) แจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. 2558 จากเรื่องที่ร้องขอความเป็นธรรมกรณีพลฯ วิเชียร จนศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ

ขณะที่ น.ส.นริศราวัลถ์ ระบุไม่เคยได้รับหมายมาก่อนด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้ น.ส.นริศราวัลถ์ระบุว่า ถูกคุกคามมาตั้งแต่ ปี 2554 ช่วงจัดงานศพให้น้า หรือพลฯ วิเชียรก็เจอซอง ธูปที่ข้างในใส่ซองกระสุนปืน ตอนงานศพก็บอกจะคลุมธงชาติให้ แต่น้าไม่ได้ตายด้วยหน้าที่ แต่ตายด้วยลำแข้ง จึงไม่รับข้อเสนอ จากนั้นท่าทีอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไป

จากนั้นก็เริ่มมีการเสนอเงิน แล้วมีคนในเหตุการณ์นำสำนวนสอบมาให้ 2 ชุด ชุดแรกเป็นของร้อยโท ชุดที่ 2 เป็นของอีก 9 ทหาร สำนวนระบุว่าร้อยโทไม่เกี่ยวทั้งที่สำนวนระบุว่าอยู่ในเหตุการณ์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นว่าทำไมต้องปกป้องคนคนนี้

ตอนแรกกลัวถูกคุกคามมาก เพราะเขาจะมายุ่งกับครอบครัว หลังจากยื่นหนังสือพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ อดีตแม่ทัพภาค 4 ก็ทำให้ไม่มีใครมายุ่งกับครอบครัวเรา

ที่ต่อสู้มาตลอด ก็เพราะเชื่อว่า "ความยุติธรรมย่อมอยู่เหนือทุกอย่าง" ทุกวันนี้ยังคงเชื่อเช่นนั้น ต่อให้เราเจอความยากลำบากทุกอย่าง แต่เราเชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สังคมกำลังทำร้ายตัวเอง คนในสังคมเวลาเกิดเหตุแล้วต้องต่อสู้กับคนมีอำนาจ ทุกคนจะบอกว่าต้องยอมแพ้ อย่าสู้เลย สู้แล้วไม่ชนะ มีแต่เสีย นั่นเป็นการปลูกฝังสิ่งที่ผิดแล้ว ทำไมไม่คิดว่า ในเมื่อเขาทำผิด ก็ต้องได้รับโทษ ไม่ว่า ยากดีมีจนยังไง ผิดถูกก็เหมือนกัน



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/JIHEDdIb2hQ

คุณอาจสนใจ