เลือกตั้งและการเมือง

นายกฯ โชว์ผลงาน 5 ด้านในรอบ 60 วัน ลั่น อาสามาทำงาน ไม่มีสิทธิ์บอกเหนื่อย

โดย attayuth_b

9 พ.ย. 2566

40 views

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกรายการพิเศษ ‘Chance of Possibility จากนโยบายสู่การลงมือทำจริง 60 วัน’ เพื่อบอกเล่าการทำง่นของรัฐบาลในช่วง 60 วันที่ผ่านมา ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดมีความยาวประมาณ 40 นาที

เรื่องแรก นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงมาตรการเร่งด่วนที่ได้ดำเนินการตลอด 60 วันที่ผ่านมา คือ การลดรายจ่าย โดยเฉพาะค่าไฟ จาก 4.45 บาท เป็น 4.10 บาท และลดลงอีกเหลือ 3.99 บาท เป็นวิธีการทำงานของรัฐบาล อะไรทำได้เราทำก่อน ถ้าทำได้อีก ก็จะทำให้ เพราะตระหนักดีว่าประชาชนเดือดร้อนมาโดยตลอด ถ้าเกิดต้องคอยให้ทุกอย่างครบหมด แล้วค่อยทำบางทีอาจจะช้าเกินไป เช่นเดียวกับการลดราคาค่าน้ำมันดีเซล และเบนซิน นอกจากนี้ยังมีการลดดอกเบี้ยและพักหนี้เกษตรกรและเรื่องที่จะต้องทำต่อไปในระยะกลาง คือการปัญหาหนี้ครัวเรือน จะมีการลดหนี้ของหนี้นอกระบบซึ่งเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมานาน มีผู้ทำผิดกฎหมาย ชาร์จดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทำให้ประชาชนจ่ายเงินไปแล้วแต่เงินต้นไม่ลด จึงต้องมีการบูรณาการแก้ปัญหาอย่างชัดเจน คาดว่าภายในอาทิตย์นี้หรืออาทิตย์หน้าจะมีการแถลงข่าวของเรื่องนี้เพื่อให้นำไปปฏิบัติได้ภายในกลางเดือนธันวาคม

สำหรับการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีหลายมิติ อย่างดิจิทัลวอลเล็ต ตนจะแถลงด้วยตนเองในวันที่ 10 พ.ย. นี้ ทั้งเรื่องหลักการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มาที่ไปของเงิน ใครได้รับบ้าง ใช้กับสินค้าประเภทใด ระยะทางกี่กิโลเมตร หรือเป็นอำเภอ หรือเป็นตำบล

ส่วนการ เพิ่มรายได้ขยายโอกาสและให้ความรู้เกษตรกรถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนอยู่ในภาคเกษตรกรรม หลาย 10 ล้านคน เราต้องให้องค์ความรู้เรื่องการทำการเกษตร แต่ไม่ใช่ว่าคนของเราไม่เก่ง เพราะเรื่องขององค์ความรู้ยังไม่มีการใส่เข้าไปให้เต็มที่ จึงเป็นหน้าที่รัฐบาลโดยเฉพาะการใช้กลไกลการตลาด ไปเปิดตลาดใหม่ๆเช่น แอฟริกา กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพราะประเทศเหล่านี้ต้องการอาหารค่อนข้างมาก เมื่อเปิดตลาดใหม่ก็มีการขยายโอกาส ขยายรายได้ และเชื่อว่าราคาพืชผลจะขยับขึ้นตาม

สำหรับเรื่องการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการเพิ่มรายได้อีกส่วนหนึ่งของประเทศ รัฐบาลได้มีการให้วีซ่าฟรีจีน ไต้หวัน อินเดีย และมีการยกเว้น ขั้นตอนของ ตม.6 ทำให้ทางภาคใต้มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียร์หลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก รัฐบาลนี้ไม่ได้ดูแค่การนำนโยบายหรือกฎกติกามาใช้อย่างเดียว เราดูทั้งเรื่องการเดินทาง ความสะดวกรวดเร็ว ฝ่ายความมั่นคง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องดูแลเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งบริษัทการท่าอากาศยานไทยหรือ AOT ก็ต้องอำนวยความสะดวก ทั้งเรื่องของการจัดการสัมภาระ( Baggage Handling ) ว่าเพียงพอหรือไม่ และดูทั้งระบบ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ถึงแผ่นดินไทย จนก้าวสุดท้ายที่จะออกไป

ในส่วนของการเปิดวีซ่าฟรีให้กับคาซัคสถานนั้น อย่าลืมว่า คาซัคสถานคือเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย ประชากรมีรายได้สูง จากสถิติที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจากคาซัคสถานมาเที่ยวยังประเทศไทยแถบจังหวัดพังงาค่อนข้างสูง จึงต้องมาดูเรื่องของสายการบินที่บินตรง และก็คงจะดูต่อไปว่าสามารถทำตรงไหนได้อีก อย่างที่ปัจจุบันเราเปิดโอกาสให้รัสเซียสามารถเข้ามาอยู่ได้ 30 วัน และขณะนี้หน่วยงานกำลังพิจารณาว่าจะมีการอำนวยความสะดวกให้สามารถอยู่เกิน 30 วันได้หรือไม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลได้มีการขยายโครงสร้างพื้นฐานทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของสนามบิน ประชาชนต้องมีความสบายใจว่าประเทศเราทีการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น รวมทั้งระยะเวลาในการอยู่ก็สำคัญเช่นกัน ต้องสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองเกิด ไม่ใช่มาแค่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน แต่เราอยากให้ไปที่น่าน กาฬสินธุ์ สุโขทัย อยุธยา ซึ่งทำให้ระยะการอยู่ของนักท่องเที่ยวยาวขึ้น ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่แค่หัวเมืองใหญ่อย่างเดียว โดยการพัฒนาต้องดูเรื่องความพร้อมของสนามบิน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาสนามบินสุวรรณภูมิก็มีส่วนขยาย Z1 ที่ได้เปิดไปแล้ว ยืนยันว่าเมืองรองเราไม่ได้ละทิ้ง ยังมีอีกหลายสนามบิน ที่เราจะไปพัฒนา และอนาคตต่อไปจ.น่าน อาจจะต้องอัพเกรดเป็น น่าน International Airport

“เรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ การลงทุนอีกนิดเดียว ทำให้ยกระดับสนามบินบางสนามบินขึ้นมา ทำให้เมืองรองกลายเป็นเมืองที่ทุกคนมีความต้องการอยากจะมา มีความสะดวกสบาย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ขณะที่เรื่องการคมนาคม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญเพราะการคมนาคมเชื่อมต่อไปทั่วประเทศ โดยเมื่อครั้งเดินทางไปประชุมที่ประเทศจีน ได้มีการพูดคุยการเชื่อมโยง Logistic ทั้งภูมิภาค เช่น เรื่องรถไฟความเร็วสูงที่เรามีการก่อสร้างจากกรุงเทพฯไปโคราช -โคราชไปขอนแก่น - ขอนแก่นไปหนองคายข้ามไปลาว และเชื่อมไปยังจีน ที่จะช่วยขนส่งสินค้าเกษตรที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง ไปขายยังต่างประเทศ แต่ระหว่างที่ดำเนินการเรื่องรถไฟความเร็วสูงต้องมีทำรางคู่ก่อน และบางจุด ต้องมียุทธศาสตร์สำคัญ เช่น สะพานข้ามจากหนองคายไปลาว เรื่องนี้มีการตกลงกันในช่วงที่เดินทางไป สปป.ลาว

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงพืชเศรษฐกิจอย่าง ทุเรียน ว่า เป็นผลไม้ที่คนจีนชอบมาก การบริโภคทุเรียนในประเทศจีนเฉลี่ย 7 กิโลกรัมต่อ ประเทศไทย 5 กิโลกรัมต่อคน มาเลเซีย 11 กิโลกรัมต่อคน ซึ่งปัจจุบันมีส่งออกประมานสองแสนกว่าล้าน ดังนั้นต้องเน้นเรื่องการขนส่งที่ต้องมีความรวดเร็ว

ขณะเดียวกันรัฐบาล ได้พยายามลดขั้นตอนของเอกสารที่ใช้เวลานาน เพราะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องควบคู่ไปกับการทำงานเพื่อที่จะให้ Easy to do business

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเดินทางไปต่างประเทศ ว่า การเดินทางเข้าร่วมประชุมUNGA ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ไปเจอผู้นำต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเรื่องของภูมิศาสตร์ มีความร้อนแรงอยู่มาก ทั้งจีน-สหรัฐ และยูเครน-รัสเซีย ซึ่งสหประชาชาติเองก็ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ในปีนี้ธีมใหญ่คือเรื่องของพลังงานสะอาด หรือ SDG ทุกคนเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการให้ดี เราได้ไปพูดในหลายเวที ไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้สีเขียวซึ่งจะมีการระดมทุน( Raise Fund ) เป็นการแสดงเจตจำนงให้ชาวโลกรู้ว่าประเทศไทย มีความเป็นห่วงในเรื่องดังกล่าว เราใส่ใจเรื่องนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการที่จะทำให้เป็น Net Zero Carbon

นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพบกับบริษัทใหญ่ๆ ที่สนใจมาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมากและในสัปดาห์หน้าที่จะเดินทางไปที่ซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมประชุม APEC ก็จะได้ไปเจรจาต่อ และ จะมีการลงนาม MOU ด้วย ซึ่งความจริงก็คือไปค้าขายนั่นเอง

“เราเป็นเซลล์แมน ต้องไปบอกว่าประเทศไทยเปิดแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่จะดีเท่าเวลานี้ ในการที่จะมาลงทุนในประเทศไทย เพราะมีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสนับสนุนทางภาษี โดย boi ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงานสะอาด ที่เรามีเหนือสิ่งอื่นใด ค่าครองชีพของเราเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านก็ถือว่าดี และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตที่ดีด้วย ถ้าเกิดจะมีคนย้ายฐานการผลิตเข้ามา และมีครอบครัวมาอยู่ด้วยนั้น เรื่องของ Health Care Service ของเราก็อยู่ระดับ World Class โรงเรียน International ของเราก็มี วันนี้เรามีครบในการที่จะเสนอตัวว่าประเทศไทย พร้อมเป็น Hub ของการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คือที่มาที่ไปของการเดินทางไปต่างประเทศ”

ส่วนการเดินทางไปเยือนประเทศในอาเซียน ทั้งกัมพูชา บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ก็เป็นการไปพบปะแนะนำตัวกับผู้นำประเทศต่างๆ รวมทั้งได้พูดคุยถึงโอกาสในการทำธุรกิจ และรับฟังปัญหา

นายกรัฐมนตรี ยังเล่าถึงความต้องการวัวของจีนและซาอุดีอาระเบีย ว่า เราจะเพิ่มรายได้ 3 เท่าให้กับพี่น้องเกษตรกรภายในเวลา 4 ปี ตรงนี้ทั้งประเทศจีนและประเทศซาอุดิอาระเบียมีความต้องการวัวอย่างมาก ซึ่งก็ล้อไปกับนโยบายของรัฐบาลที่จะสนับสนุนให้มีการเลี้ยงวัวเกิดขึ้น อย่างซาอุดิอาระเบีย เขาไม่ได้อยากได้วัวแบบเป็นตัว ๆ แต่อยากได้วัวที่ชำแหละแล้ว ซึ่งวัวที่ชำแหละแล้วจะเพิ่มรายได้ให้กับคนที่เลี้ยงวัว 40% ซึ่งเราก็ต้องมานั่งดู ว่าประเทศเรามีความสามารถในการที่จะมีโรงเชือดได้มากน้อยขนาดไหน และเราเองก็ไปศึกษามาว่าโรงเชือดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยอยู่ที่ชุมพร เชือดได้วันละ 200 ตัว

นายกรัฐมนตรี ยังพูดถึงการแก้ปัญหาอาชญากรรม เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพวกนี้หลอกลวงประชาชน จึงสั่งให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำงานร่วมกับตำรวจ กวาดล้างให้เด็ดขาด รวมถึงปิดบัญชีม้า และหากเป็นคดีใหญ่ให้ประสาน DSI เป็นคดีพิเศษ และให้ ปปง. ยึดทรัพย์ เพื่อตัดต้นตอ

ส่วนปัญหายาเสพติดถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ นายกรัฐมนตรต้องนั่งหัวโต๊ะในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการยึดทรัพย์ที่ยังช้าอยู่ คนที่ค้ายาเสพติดไม่ได้กลัวติดคุก แต่กลัวถูกยึดทรัพย์

ขณะที่ปัญหาทางด้านสังคม ความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ตั้งคณะกรรมการมาแล้ว พร้อมกำหนดไทม์ไลน์ที่ชัดเจนแล้ว

ส่วนเรื่องสมรสเท่าเทียมน่าจะเป็นกฎหมายฉบับแรกของรัฐบาลที่ยื่นจะยื่นเข้าสภาต้นเดือนธันวาคมนี้ เช่นเดียวกับสุราชุมชนก็ต้องทำเหมือนกัน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเรื่องการยุบหรือไม่ยุบกอ.รมน. ว่า “ผมเองต้องบอกตรง ๆ นะผมเองผมก็ตกใจนะ ที่บอกว่าเอ๊ะเราทำไมท่านไม่ยุบ ผมไปหาเสียงที่ไหนไปเอาเทปมาดูได้ผมไม่เคยบอกต้องยุบ นโยบายที่แถลงก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้” แต่ว่าทุก ๆ องค์กรไม่ใช่ กอ.รมน. อย่างเดียว เช่นจะเป็น boi หรือ eec ก็ต้องมีการพัฒนา และมีการเปลี่ยนแปลง

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงอุปสรรคใน 60 วันที่ผ่านมา ว่า “หากถามว่า 60 วันที่ผ่านมาชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม จริง ๆ แล้วเนี่ยเราอาสาเข้ามาทำงาน ไม่มีสิทธิ์บอกว่าเหนื่อย ไม่มีสิทธิ์บอกอะไร แต่ว่าอุปสรรคสำคัญที่สุดก็คือเวลาไม่พอ เวลาไม่พอทุกอย่าง เวลาไม่พอในการทำงาน เวลาไม่พอในการนอนนะครับ เพราะต้องมีงานพูดคุย ต้องมีงานทำอะไรหลาย ๆ อย่างนะครับ“

โดยนายกรัฐมนตรีบอกว่าอยากให้ 1 วันมีมากกว่า 24 ชั่วโมง ขณะที่ทีมงานเองก็ตระหนักดีถึงความสำคัญที่จะต้องเร่งเข็นผลงานออกมา เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา GDP ไทยโต 1.8% น้อยกว่าเพื่อนบ้าน

ขณะที่ข้าราชการก็เป็นภาคส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้นเราต้องรับฟังความคิดเห็นของทุก ๆ หน่วยงาน และต้องให้ความมั่นใจว่าข้าราชการที่ตั้งไจทำงานจะได้รับการโปรโมท และการโยกย้ายจะต้องได้รับความเป็นธรรม

นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนท้ายถึงเรื่องที่อยากฝากประชาชนว่า เรื่องใหญ่ก็คือเรื่องของปากท้อง รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ ทำทุกเรื่องอย่างไม่หยุดยั้ง และลืมเหน็ดเหนื่อย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทุก ๆ ภาคส่วนต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจุบันเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ และต้องคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน ทุก ๆ กระทรวง ทบวง กรม รวมถึงข้าราชการต้องพยายามทำงานกันอย่างเต็มที่ และทำงานหนักต่อไป ขอให้มีความอดทนและต้องรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน รัฐบาลจะพยามเข็นผลงานออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

แท็กที่เกี่ยวข้อง  โชว์ผลงาน ,นายกฯ ,อาสามาทำงาน

คุณอาจสนใจ

Related News