สังคม

"คุณหญิงกอแก้ว-ณพ ณรงค์เดช" เปิดข้อมูลสำคัญยืนยันความบริสุทธิ์ หลังศาลยกฟ้องทุกคดี

โดย nutda_t

2 พ.ย. 2566

3.9K views

คุณณพ ณรงค์เดช พร้อม คุณวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ ที่ปรึกษากฎหมาย และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา พร้อมคุณอภิวัฒน์ ทองคำ ที่ปรึกษากฎหมาย เปิดข้อมูลสำคัญโต้กลับทุกข้อกล่าวหา คดีครอบครัวและคดีหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) พร้อมพิสูจน์ความจริง ยืนยันความบริสุทธิ์ หลังอดกลั้นมานาน ศาลพิพากษาชนะคดีรวดมาตลอด 6 ปี ศาลชี้ซัดเส้นทางการเงิน และเงินทุนมาจากคุณหญิงกอแก้ว บุญยะจินดา

คุณณพ ณรงค์เดช เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตลอด 6 ปี เลือกที่จะไม่ตอบโต้ เพื่อรอศาลพิพากษาให้ครบทุกคดี ในวันนี้จึงออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในครั้งนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจน พร้อมพิสูจน์ความจริง ตอบทุกข้อกล่าวหาที่ถูกนำไปเบี่ยงเบนประเด็น โดยไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิด สำหรับการลงทุนในหุ้นวินด์ฯ เป็นการลงทุนส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับครอบครัว สำหรับเรื่องที่เสียใจที่สุดคือการที่คุณพ่อ (ดร.เกษม ณรงค์เดช) ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพียงเพราะมีคนต้องการผลประโยชน์จากหุ้นวินด์ฯ

นอกจากนี้ ตนเองและลูกๆ ไม่ได้รับโอกาส ให้เข้าไปพบคุณพ่อ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะความขัดแย้งของพี่น้อง แม้จะพยายามเข้าพบหลายรอบแล้วก็ตาม ซึ่งตนยังเฝ้ารอโอกาสที่จะได้เข้าพบคุณพ่อเสมอ



ด้าน คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา กล่าวว่า ในชีวิตไม่เคยออกมาแถลงข่าว เมื่อลูกเข้ามาขอความช่วยเหลือ วันนั้นถ้าไม่ได้ซื้อหุ้นวินด์ไว้ บริษัทอาจจะล้มละลาย เนื่องจากธนาคารจะยึด เมื่อวินดิ์ฯ พ้นวิกฤติ ทำรายได้ปีละพันล้าน ตนเองไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องราวต่างๆ หลักฐานต่างๆมีทั้งหมด ตนเองขอให้สังคมลองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ตอนนั้น บริษัทที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีราคา ไม่มีใครอยากได้ ขอย้ำว่าตนเองไม่ได้โกงใคร ไม่ได้ปลอมลายเซ็นใคร อย่างที่กล่าวหา

ขณะที่ คุณอภิวุฒิ ทองคำ เปิดเผยว่า อยากถือโอกาสนี้ขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่มาให้เกียรติ วัตถุประสงค์คือต้องการอยากให้ความชัดเจนสื่อมวลชน รวมถึงสาธารณะชน ได้รับรู้ถึงคดี ปัจจุบันมีผลของคำพิพากษาออกมาแล้ว ตนจึงอยากให้รายละเอียดที่มากขึ้น ในส่วนที่มีบุคคลใดเป็นเจ้าของหุ้น หลักๆมีทั้งหมด 5 คดี

คดีที่ 1 เกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ฟ้องโกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด จำเลยที่ 1 ณพ ณรงค์เดช จำเลยที่ 2 คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา จำเลยที่ 3 เรื่องละเมิดและขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เมื่อปี 2561 ซึ่งศาลอนุญาติให้โจทก์ถอนฟ้อง โดยให้ชำระค่าใช้จ่ายในอัตราสูงสุด ให้แก่จำเลย

คดีที่ 2 คดีใช้เอกสารปลอม (ศาลอาญารัชาดา) เกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์อ้างว่าตนเองในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว บุญยะจินดา จำเลยที่ 1 ณพ ณรงค์เดช จำเลยที่ 2 และสุรัตน์ จิรจรัสพร จำเลยที่ 3 เรื่องความผิดเกี่ยวกับเอกสาร เมื่อปี 2561 ศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้อง พยานผู้เชี่ยวชาญยันลายมือชื่อไม่ได้เป็นลายมือชื่อปลอม เงินช่วยเหลือจากครอบครัวก็เป็นเงินกู้ยืม ซึ่ง ณพ รับผิดชอบภาระหนี้และการบริหารจัดการคนเดียวจึงไม่ใช่การร่วมลงทุนในความหมายของกฎหมาย พยานโจทก์รับฟังไม่ได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าเอกสารทั้ง 3 ฉบับเป็นเอกสารปลอม

คดีที่ 3 คดีเรียกทรัพย์สินคืน (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) เกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย 14 คน และมีจำเลยร่วมอีก 31 คนเมื่อปี 2562 เรื่องให้เรียกทรัพย์คืน (หุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด)

โดยศาลอ่านคำพิพากษา ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสองไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฏหมายว่า เอกสารดังกล่าวในการโอนหุ้นไม่เป็นเอกสารที่แท้จริง หรือเป็นพยานเอกสารที่รับฟังไม่ได้เพราะเหตุใด ข้อกล่าวอ้างต่างๆเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานกฎหมาย เมื่อโจทก์สืบไม่ได้จึงต้องฟังว่าการโอนหุ้นพิพาทหรือการซื้อหุ้นพิพาทมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ก็ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไม่เป็นโมฆะ เรื่องความเห็นเจ้าของหุ้นของโจทก์ทั้งสอง เมื่อได้ความว่า เงินที่ซื้อหุ้นพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสองและไม่ปรากฏว่าเอกสารที่อ้างเป็นเอกสารปลอม การโอนหุ้นพิพาทถูกต้องตามแบบของกฎหมายจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของหุ้นพิพาท ไม่จำเป็นต้องโอนหุ้นคืนแก่โจทก์ทั้งสอง

คดีที่ 5 คดีปลอมลายเซ็น (ศาลอาญากรุงเทพใต้) คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด(สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้หนึ่ง) เป็นโจทก์ฟ้อง ณพ ณรงค์เดช กับพวกรวม 3 คน เมื่อปี 2564 ในฐานความผิด ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม

ศาลอ่านคำพิพากษา ยกฟ้อง ศาลใช้ดุลพินิจรับฟังว่าเอกสารทั้ง 6 ฉบับ ปลอม แต่ทางนำสืบและพยานหลักฐานรวมทั้งคำเบิกความของเกษม ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่ยืนยันว่า ณพ , คุณหญิงฯ และสุภาพร เป็นผู้ปลอม มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงลายมือชื่อหรือนำมาใช้หรืออ้างชื่อใด ซึ่งกฤษณ์ ได้เบิกความว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงลายมือชื่อปลอม ส่วนกรณีเบิกความว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะลงลายมือชื่อ จึงไม่ทราบว่าผู้ใดลงลายมือชื่อ จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสาม ไม่ได้รวมกันปลอมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอม



ต่อมา คุณณพ ณรงค์เดช เปิดเผยว่า เป็นเวลาเกือบ 6 ปีแล้ว ที่มีบุคคล 2 กลุ่ม คือนายนพพร ผู้ขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง ให้กับผม และพี่กับน้องของผม คือนายกฤษณ์ และนายกรณ์ ได้ทําการเผยแพร่ และให้ข่าวเกี่ยวกับการที่พวกเขามาฟ้องคดีผม และคุณหญิงกอแก้ว หลายคดี โดยใช้วิธีการให้ข่าวที่เบี่ยงเบนประเด็น โดยไม่ให้ข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน เพื่อทําให้ผู้ติดตามข่าว เกิดความเข้าใจผิดว่าผมไปโกงนายนพพร และผมไปโกงพี่น้อง ซึ่งทําให้ผม คุณหญิงกอแก้ว ภรรยา และลูก ๆ ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และได้รับผลกระทบต่างๆ เป็นอย่างมาก แต่เราก็เลือกที่จะไม่ตอบโต้ และรอให้ศาลมีคําพิพากษาครบทุกคดี จึงค่อยออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในครั้งเดียว เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเรื่องที่เกิดขึ้น “ความจริงคืออะไร-ใครกันแน่ที่โกง”

โดยเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 และ 28 กันยายน 2566 ศาลอาญารัชดา และศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามลําดับ ได้มีคําพิพากษา “ยกฟ้อง” ทั้งสองคดีที่พี่น้องได้ให้คุณพ่อมาฟ้องคุณหญิงกอแก้ว และผมว่า “ใช้เอกสารปลอม” และ “ปลอมแปลงเอกสาร” และล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งเป็นคดีที่นายนพพร ได้ฟ้องผมและพวกเป็นคดีอาญาว่า “โกงเจ้าหนี้” ซึ่งเป็นคดีสุดท้าย ที่ผมรอฟังคําพิพากษาอยู่ ก็ได้มีคําพิพากษาให้ “ยกฟ้อง” จําเลยทุกคนเช่นกัน

วันนี้ผมจึงพร้อมที่จะชี้แจงด้วยข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน เพื่อชี้ให้เห็นการเบี่ยงเบนประเด็น ที่ทําให้ผมเป็นคนผิด โดยการดําเนินการจากคนทั้งกลุ่มนี้ ทั้ง ๆ ที่พยานหลักฐานชัดเจนแล้วว่าผมไม่ได้ทําผิดใดๆ เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่ผมไปซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ จากนายนพพร ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไทย จากการเป็นผู้ต้องหา และหนีคดีอาญา เรื่องทําร้ายร่างกาย และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ซึ่งมีการกระทําผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวเนื่องด้วย ทําให้จําเป็นต้องขายหุ้นออกมาให้ผมแบบขายขาด และได้โอนหุ้นให้ผมก่อนทั้งหมด แล้วค่อยชําระเงินค่าหุ้น เพื่อแก้ปัญหาจากการที่ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ ไม่สามารถหาเงินกู้เพื่อดําเนินกิจการต่อไปได้ เพราะสถาบันการเงินไม่สนับสนุนการให้สินเชื่อ หากยังมีนายนพพร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเมื่อผมได้รับโอนหุ้นมา ผมก็ได้จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นงวดแรกให้นายนพพร ไปแล้วเมื่อปี 2558 จํานวน 90.5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท

แต่เมื่อนายนพพร ได้รับเงินก้อนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว กลับไปฟ้องคดีเพื่อที่จะเอาหุ้นคืน ซึ่งเขาแพ้คดีโดยอนุญาโตตุลาการ ซึ่งบังคับให้เขาปฏิบัติตามสัญญาที่ทํากับผมไว้ คือรับชําระเงินค่าหุ้นในส่วนอื่น ๆ ต่อไป และจะเอาหุ้นคืนไม่ได้ ผมจึงได้ชําระเงินค่าหุ้นส่วนที่เหลือจํานวน $85.75 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือ อีกประมาณ 3,000 ล้านบาท ให้นายนพพร ไปตั้งแต่ปี 2561ซึ่งครบถ้วนตามสัญญา เหลือเพียงเงินโบนัสที่ยังโต้แย้งกันอยู่ในคดีของศาลไทย และเมื่อนายนพพร ได้เงินไปแล้ว แต่ไม่ได้หุ้นคืน ก็ได้ไปฟ้องคดีอื่น ๆ ตามมาอีกหลายคดี ทั้งในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในประเทศไทย และประเทศอังกฤษคดีทุก ๆ เรื่อง ทั้งในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และในประเทศไทยนั้น ศาลตัดสินให้คุณหญิงกอแก้วและผมชนะคดีทั้งหมด มีเพียงศาลอังกฤษเพียงศาลเดียวที่ตัดสินคดีบนกฎหมายไทย ตัดสินให้คุณหญิงกอแก้ว และผมแพ้คดี ต้องชดใช้เงินจํานวนมหาศาลให้แก่นายนพพร โดยศาลอังกฤษนี้ อ้างความชอบธรรมที่จะฟังความจากนายนพพร ข้างเดียว โดยเขียนคําพิพากษาในทํานองว่า ตนเห็นว่านายนพพร สุจริต โดยไม่โต้แย้งหรือเขียนถึงบรรดาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ฝ่ายผมนําสืบไว้ว่านายนพพร เป็นคนไม่สุจริตไว้ในคําพิพากษาเลย กล่าวคือ

(1) นายนพพ รถูกพิพากษาจําคุกโดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ในประเทศไทยจากความผิดฐานยักยอกทรัพย์

(2) นายนพพร เป็นผู้ต้องหาและหนีคดีอาญาเรื่องทําร้ายร่างกายและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และกระทําผิดมาตรา 112ของประมวลกฎหมายอาญา

(3) นายนพพร ถูกศาลฮ่องกงพิพากษาว่า จงใจปกปิดข้อเท็จจริงสําคัญในการดําเนินคดีต่อศาลฮ่องกง

(4) นายนพพร ได้ขัดขวางไม่ให้ผมหาเงินกู้มาชําระค่าหุ้นให้แก่นายนพพร ได้ทันภายในกําหนดเวลา เพื่อให้ผมผิดนัด แล้วนายนพพร จะได้อ้างเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อเรียกร้องเอาหุ้น บริษัท วินด์ เอน เนอร์ยี่ ที่ได้ขายและโอนให้ผมมาแล้วทั้งหมดคืน ตามแผนที่เขาวางไว้ ซึ่งในที่สุดผมเป็นฝ่ายชนะคดีตามที่ได้ชี้แจงไว้แล้วข้างต้น


ซึ่งเรื่องคดีอังกฤษนี้ นายนพพร ได้ใช้สื่อที่วางแผนไว้ในการประโคมข่าว โจมตีอย่างหนักทันที ว่าคุณหญิงกอแก้วและผม โกงเขา แต่คําพิพากษาของศาลอังกฤษที่ได้ใช้กฎหมายไทยนี้ ได้ถูกศาลแขวงพระนครใต้ของไทย “ตัดสินกลับแล้ว”




เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ในคดีที่นายนพพร ได้ฟ้องผมและพวก เป็นคดีอาญาว่า “โกงเจ้าหนี้” โดยศาลไทยได้มีคําพิพากษาว่าไม่มีการ “โกงเจ้าหนี้” ให้ “ยกฟ้อง” รายละเอียดของสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นการซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ ทางอ้อมผ่านบริษัทที่ผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ กับบริษัทที่นายนพพร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และคดีกับนายนพพร ที่ศาลไทยกลับคําพิพากษาศาลอังกฤษว่า “ไม่มีการโกงเจ้าหนี้” นั้น ผมจะขอให้คุณวีระวงค์ เป็นผู้ชี้แจงเพิ่มเติม


สําหรับเรื่องของผมกับพี่น้อง ซึ่งคุณพ่อต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องที่ผมเสียใจที่สุด และไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับผม ก็มีมูลเหตุมาจากการที่ผมได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ จากนายนพพร เพราะพี่และน้องต้องการแบ่งหุ้น บริษัท วินด์ฯ ที่ผมเป็นผู้ซื้อมา ไปเป็นของเขาจํานวน 49% แบบฟรี ๆโดยที่ผมเป็นผู้ลงทุนส่วนตัว ไม่ได้เป็นกงสี ที่จะต้องนํามาหาร 3 นายกฤษณ์ได้พูดถึงธุรกิจกงสีของครอบครัว ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร เพราะทรัพย์สินที่ถือร่วมกันและรอเวลาแบ่งสรรกัน ก็มีเพียงทรัพย์มรดกหลายรายการที่คุณแม่ คือ คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช กําหนดไว้ในพินัยกรรม ให้แบ่งกันระหว่างพี่น้องทั้ง 3 คน ตามเจตนาของคุณแม่


โดยกําหนดให้ นายกฤษณ์ ในฐานะพี่ชายตนโตเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการแบ่งออกมาตามพินัยกรรมเลย ส่วนธุรกิจที่มีนายกฤษณ์ ,นายกรณ์ และผม เป็นผู้ถือหุ้นร่วมกัน โดยถือหุ้นคนละ 1 ใน 3 ก็มีเพียง บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จํากัด เพียงบริษัทเดียวเท่านั้น ซึ่งในอดีต ผมได้ทําหน้าที่ดูแลธุรกิจนี้ตามที่ครอบครัวให้ความไว้วางใจอย่างเต็มใจและเต็มกําลังมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ ที่ผมซื้อมา ผมจึงถูกกันออกมา ไม่ให้ร่วมบริหารจัดการ หรือร่วมตัดสินใจใด ๆ รวมทั้งการที่ บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไรมอน แลนด์ จํากัด (มหาชน) ด้วย ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นผู้ถือหุ้นอยู่

คุณอาจสนใจ