สังคม

คนไทยตายเพิ่มอีก 1 ราย! แรงงานไทยเล่านาทีหนีตาย ถูกฮามาสทำร้าย-เพื่อนถูกจับ ยังไม่ทราบชะตากรรม

โดย petchpawee_k

19 ต.ค. 2566

29 views

นายกฯ เผยคนไทยในอิสราเอลเสียชีวิต เพิ่มอีก 1 ราย ตั้งเป้าเร่งอพยพ 600 คน/วัน 

เมื่อวานนี้ (18 ต.ค.) เวลา 08.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยถึงสถานการณ์ความรุนแรงในอิสราเอลว่า มีรายงานคนไทยเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย ทำให้ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตรวม 30 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บและตัวประกันยังมีตัวเลขเท่าเดิม


 ขณะที่เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา ตนได้พบปะกับนายอันโตนิโอ กุเตอเรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) และ ผู้นำหลายประเทศ ระหว่างงานเลี้ยงรับรองที่ประธานาธิบดีจี สี จิ้นผิง เป็นเจ้าภาพ ซึ่งทุกคนแสดงความห่วงใยกับสถานการณ์ที่อิสราเอล และทุกคนมั่นใจว่าสถานการณ์จะเคลื่อนไปในทิศทางที่เลวร้ายลง ซึ่งตนได้แจ้งกับเลขาธิการยูเอ็นว่า ไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้ง แต่กลับเป็นผู้ที่สูญเสียมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ซึ่งเลขาฯ ยูเอ็นแสดงความตกใจ และแสดงความเห็นใจมายังประเทศไทย พร้อมแจ้งว่า ในวันนี้ (19 ต.ค.) จะเดินทางไปอียิปต์และไปยังจุดที่มีความขัดแย้ง


ซึ่งเข้าใจว่าไปกดดันให้มีการยุติโดยสันติภาพให้เร็วที่สุด แต่ก็เชื่อว่าสถานการณ์ก็ไม่ดีเท่าไหร่ และแสดงความห่วงใยอย่างมาก พร้อมเป็นกำลังใจให้ประเทศไทย ขณะเดียวกันผู้นำหลายประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็พยายามเดินทางเข้าไปเจรจา ล่าสุด นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็เตรียมเข้าไป เช่นเดียวกับประเทศอียิปต์ก็มีส่วนร่วมในการช่วยเจรจา ซึ่งทุกประเทศเป็นห่วงสถานการณ์ เนื่องจากเห็นว่าไม่น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี


 นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศด้วยว่า ปัจจุบันสามารถนำตัวคนไทยออกมาได้เฉลี่ย 400 คนต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนการกลับไทยเพิ่มขึ้นวันละ 600 คน ดังนั้น ความจำเป็นในการนำเครื่องบิน A380 ซึ่งสามารถรองรับได้เที่ยวละ 500-600 คน ก็น้อยลง เนื่องจากไม่สามารถนำคนมารวมกันไว้ได้เยอะขนาดนั้น เพราะสถานที่ไม่สามารถรองรับได้ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถรับคนไทยที่แจ้งความประสงค์เดินทางกลับได้หมดภายในสิ้นเดือนนี้


ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ติดต่อกับท่าเรือ เพราะบางประเทศได้นำเรือสำราญไปรับคนออกมา เช่น สหรัฐฯ ไปรับออกมา 1,500 – 2,000 คน ออกมาจากอิสราเอลแล้วไปจอดไซปรัส แต่ขณะนี้ท่าเรือปิดแล้ว หากไทยขอไปอีกอาจจะลำบาก มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น อีกทั้งการรับคนออกมาจากพื้นที่เสี่ยง แล้วมารวบรวมไว้เป็นพันคนไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องโลจิสติกส์เป็นเรื่องที่ลำบากใจมาก


นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีความสับสนทางข้อมูล เพราะก่อนหน้านี้เอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย แจ้งว่าสามารถอพยพคนไทยออกจากพื้นที่เสี่ยงได้ถึง 99% ซึ่งความจริงแล้วยังไม่ใช่ เพราะจากเที่ยวบินล่าสุดมีคนไทยที่แจ้งความประสงค์จะกลับ ยังไม่สามารถออกจากพื้นที่นั้นได้หลายสิบคน ทำให้คนที่เดินทางกลับลดน้อยลง จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และหากสถานการณ์การสู้รบของทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มที่ จะทำให้เกิดความสูญเสียมากขึ้น เป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องนำคนไทยออกมาให้ได้มากที่สุด


โดยจะต้องประสานด้านโลจิสติกส์ให้ดีว่าหากนำตัวออกจากพื้นที่เสี่ยงได้แล้วจะทำอย่างไร ซึ่งขณะนี้ฝ่ายค้านมั่นคง โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็พยายามติดต่อประสานเพื่อนำคนไทยออกมาให้ได้เร็วและปลอดภัยที่สุด แต่การลำเลียงคนออกจากพื้นที่สีแดงไม่ใช่ทำได้ตลอดเวลา ต้องดูเรื่องเวลาด้วย ยืนยันว่า รัฐบาลพยายามเจรจาและดำเนินการหลายๆ อย่าง


“ผมอยากให้คนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เร่งตัดสินใจว่าจะกลับหรือไม่กลับ เพราะความเสี่ยงอยู่ที่ตัวท่าน ส่วนหน้าที่ของรัฐบาลหากท่านแสดงความจำนงค์ว่าจะกลับ เป็นหน้าที่เราที่ต้องทำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อลำเลียงคนออกมาให้เร็วและปลอดภัยที่สุด” นายเศรษฐา กล่าว และว่า วันนี้กระทรวงการต่างประเทศ จะประสานไปที่สถานเอกอัครราชทูต เพื่อตรวจสอบจำนวนเที่ยวบินว่ามีเท่าไหร่ ที่สำคัญต้องนำคนไทยไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยก่อนบินกลับประเทศ

-------------------------

การบินไทยรับแรงงานกลับไทย ลงทะเบียนไว้ 280 คน แต่กลับมาจริง 266 คน


ขณะที่วานนี้ (18 ต.ค.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ส่งเครื่องบิน โบอิ้ง 777-200ER ไปรับแรงงานไทยยังกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ที่ไก้รัยผลกระทบจากเหตุสงคราม โดยรับคนไทยกลับมา จากเดินจำนวนที่ลงทะเบียนไว้ 280 คน แต่กลับมาจริง 266 คน  โดยด้วยเที่ยวบินที่ ทีจี 8951 ออกเดินทางจากกรุงเทลอาวีฟ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม เวลา 13.38 นาที ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 18 ตุลาคม 2566 เวลา 05.20 น.  โดยถือเป็นครั้งแรกที่การบินไทยส่งเครื่องบินแบบเหมาลำ ไปรับแรงงานไทยและบินตรงกลับทันที


โดยทีมข่าวได้คุยกับแรงงานไทยคนหนึ่ง คือ นายชิติพัฒน์ เลาเฒ่า  อายุ 27 ปี ชาวจังหวัดเชียงใหม่ ไปทำงานภาคการเกษตร ที่เมืองคิวบูส ฟาซ่า ที่อยู่ห่างจากชายแดนเพียง 3 กิโลเมตร ได้เล่าว่า ตนเองไปทำงานได้เพียง 9 เดือน ก็เกิดเหตุความไม่สงบ โดยตนเองและเพื่อนถูกจับเป็นตัวประกันและถูกทำร้ายร่างกาย


นายชิติพัฒน์ ยังเล่าถึงวินาทีที่กลุ่มฮามาสเข้ามาคือเข้ามาเคาะประตูพูดว่า “ไทยแลนด์” ซึ่งตอนนั้นเพื่อนคิดว่ามีคนมาเคาะเรียก จึงออกไปเปิดประตู จากนั้นกลุ่มฮามาสก็บุกเข้ามาในแคมป์ เข้ามารื้อค้นสิ่งของ บอกให้เอาเงินของมีค่าส่งให้กลุ่มฮามาส และตัวเองและเพื่อน รวม 4 คน ถูกจับเป็นตัวประกัน มัดแขน และถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งตัวของนายชิติพัฒน์ ถูกมีดกรีดต้นแขนขวาลึก 3 เซ็นติเมตร ส่วนเพื่อนอีกคนถูกมีดกรีดกลางหลัง


จังหวะนั้นตนเองรู้สึกกลัวมาก เพราะถูกตะคอก ถามว่ามีอาวุธหรือไม่ มีเงินหรือไม่ และใช้ด้ามปืนทุบทำร้าย และเมื่อมีจังหวะ ตนเองก็รีบวิ่งหนีออกมาคนเดียว เพื่อหนีเอาชีวิตรอด วิ่งออกไปหลบซ่อนอยู่หลังโรงงาน วินาทีนั้นคิดเพียงว่า อยู่ก็อาจจะตาย หรืออออกมายังมีโอกาสรอดมากกว่า ซึ่งไปหลบซ่อนตัวอยู่นานเป็นสิบชั่วโมง ก่อนที่ทหารจากอิสราเอล มาช่วยเหลือไว้ทัน ยอมรับคิดว่าตัวเองจะไม่รอดแล้ว เพราะเลือดก็ไหลไม่หยุดและกลัวกลุ่มฮามาสมาเจอ


และนายชิติพัฒน์ ยังบอกว่า ตอนนี้ตนเองรู้ข่าวเพียงว่า เพื่อนที่ถูกมีดกรีดหลัง มัดมือ และโดนลาก นั้นรอดออกมาแล้วกลับไทยแล้ว แต่เพื่อนแรงงานอีก 2 คนไม่รู้ชะตากรรมเลยว่ายังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่


 ขณะที่ทีมข่าวได้คุยกับนายจักรินทร์ แบ่งหิรัญ  อายุ 26 ปี ก็บอกว่า กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ากลัวมาก เพราะตนเองอยู่มา 1 ปี 2 เดือน ไม่เคยเจอรุนแรงแบบนี้มาก่อน ที่บุกภาคพื้นดิน จุดที่ตนเองอยู่คือใกล้มาก ห่างไม่กี่ร้อยเมตร มีการยิงจรวดมิดทราย ยิงระเบิด กันตลอดเวลา จังหวะนั้นตนเองและเพื่อนรวม 14 คน ต้องซ่อนตัวภายในแคมป์ให้เงียบที่สุด เพราะถ้าส่งเสียงดังก็อาจจะไม่ปลอดภัย


ยอมรับว่าเสียขวัญมากไม่อยากกลับไปทำงานที่อิสราเอลแล้ว เพราะแม้ว่าจะมีการแจ้งเตือนผ่านข้อความเพียง 30 วินาทีเท่านั้น จรวดมิดทรายก็ยิงทันที ตนต้องวิ่งไปยังที่หลบภัยให้ทัน ถ้าไม่ทันก็อาจจะบาดเจ็บเสียชีวิต


ด้านแรงงานอีกกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ฉนวนกาซ่า ก็บอกว่า ครั้งนี้รุนแรงมาก ที่มีกลุ่มฮามาสออกมาตามท้องถนนกราดยิงผู้คน และการแจ้งเตือนภัยก็ไม่ทัน กลุ่มฮามาสบุกมาประชิดตัวแล้ว ซึ่งแคมป์ที่ นายอวยชัย พลจันทร์  และนายยีนส์ พหรมภักดิ์  บอกว่า กลุ่มฮามาสได้มาเคาะประตู พร้อมพูดว่า “สวัสดีครับ” เพื่อให้ตนและเพื่อนที่ซ่อนตัวอยู่นั้น ออกไปเปิดประตูให้ แต่ตนเองและเพื่อนรู้ว่า เป็นกลุ่มที่ไม่หวังดีแน่ จึงหลบซ่อนตัวเงียบๆ 2 วัน 2 คืน


และยังเล่าอีกว่ากลุ่มฮามาสได้ข้ามชายแดนมาทั้งการขับพารามอเตอร์ และกระโดดข้ามกำแพงมา และมายิงทำร้าย จากนั้นก็จะมีการยิงปะทะกันานกว่าครึ่งชั่วโมง พวกตนต้องรอจนกว่ากลุ่มทหารจะเข้ามาช่วยเหลือ ยอมรับว่ากลัวมาก ที่ผ่านมาไม่เคยรุนแรงแบบนี้มาก่อน



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/I5FsGZXoyT0

คุณอาจสนใจ

Related News