สังคม

แฉกลโกง หนุ่มแสบอ้างชื่อสำนักพระราชวัง เที่ยวตุ๋นเหยื่อโอนเงิน

โดย panwilai_c

13 ต.ค. 2566

168 views

ตำรวจสอบสวนกลางใช้เวลา 1 ปี สืบหาคนร้ายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง โทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ทมาหลอกลวงพระภิกษุ ร้านอาหารและร้านผ้าไหม ให้โอนเงินผ่านบัญชีม้าของแก๊งคอลเซนเตอร์ จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยล่าสุดเพิ่งทราบว่าคนร้ายเป็นอดีตสามเณร ที่ก่อคดีฉ้อโกงไว้หลายคดี และหนีไปอยู่กับแก๊งคอลเซนเตอร์ 



คนร้ายใช้วิธีเดียวกับแก๊งคอลเซนเตอร์ โทรศัพท์จากชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางอินเทอร์เน็ท เพื่อมาหลอกลวงผู้เสียหายในประเทศไทย และ1 ในกลุ่มที่ถูกหลอกลวงเป็นร้านอาหาร โดยคนร้ายปกปิดตัวตนแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง



โดยใช้ไลน์ กรมกิจการพิเศษ 904 และอีกหลายชื่อ ให้ดูน่าเชื่อถือ และยังทำหนังสือหมายกำหนดการ ปลอมลายเซนต์ ใช้โปรไฟว์เป็นรูปมหาดเล็ก เพื่อให้ร้านอาหารหลงเชื่อ หลังจากนั้นก็จะเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ทั้งค่าฉายพระรูป ค่าเข็มที่ระลึก เป็นเหตุกลุ่มร้านอาหาร ในกรุงเทพฯและปริมณฑล โอนผ่าน บัญชีม้า ที่คนร้ายจัดซื้อหามาจากท่าขี้เหล็ก กว่า 10 ร้าน



ไม่เพียงแต่ฆราวาส แต่พระ ก็ถูกหลอก โดยคนร้ายแอบอ้าง เป็นสำนักพระราชวังเช่นเดิม หลอกลวงเจ้าอาวาสวัดในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไม่ต่ำกว่า 4 แห่ง ว่า นิมนต์ไปเทศน์จะได้รับพระราชทานพัดยศ แต่จะต้องโอนเงินผ่านบัญชีม้า ที่คนร้ายจัดซื้อจากย่านท่าขี้เหล็ก ทำให้มีเจ้าอาวาสโอนเงินไปวัดละ1 แสนบาท อีกทั้งยังมีร้านผ้าไหม ถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน ว่าทางสำนักพระราชวังจัดกิจกรรมส่งเสริมผ้าไหมไทย จะต้องโอนค่าใช้จ่ายเพื่อฉายพระรูป และค่าเข็มกลัดพระราชทาน



หลังผู้เสียหาย ทั้งพระและฆราวาส มาร้องทุกข์ต่อตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

จึงให้ตำรวจกองปราบปรามสืบสวน จนทราบว่าคนร้ายรายนี้ คือนายจุฬาธิปก อายุ 29 ปี และปลี่ยนนามสกุล มาใช้นามสกุลดัง



โดยก่อนปี 2564 อาศัยอยู่ที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ บวชเป็นเณร นักเทศน์ แต่หลังจากทำผิดที่จ.เชียงใหม่ ในคดีฉ้อโกง จึงหลบหนีไปหลอกอยู่ฝั่งท่าขี้เหล็ก โดยร่วมกับแก๊งคอลเซนต์ทั้งใช้ซิมผี และโทรศัพท์ผ่านทางอินเทอร์เน็ท จัดหาบัญชีม้าและการฟอกเงิน



เมื่ออยู่ประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้ประสานเมียนมาร์ ผ่านทางเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงย่างกุ้ง กระทั่ง ตำรวจเมียนม์พบตัวนายจุฬาธิปก และได้ประสานส่งกลับมายังไทย



ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า จากากรตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหา บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 13ปี เมื่อมีหมายจับคดีฉ้อโกง เมื่อปี 2564 จึงหนีไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยสึกจากเณรเมื่อ 2ปีก่อน แต่ยังโทรมาแอบอ้างเป็นสำนักพระราชวัง เรื่อยมา โดยล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้หลอกพระ และร้านอาหาร ได้รับความเสียหายเกือบ 1 ล้านบาท



เงินที่โอนผ่านบัญชีม้า ผู้ต้องหายังไปแปลงเป็นเงินสกุลอื่นๆ ก่อนกลับมาเป็นเงินไทย การแอบอ้างของผู้ต้องหา น่าจะมีกลุ่มผู้ถูกหลอกอีกหลายคน ที่ไม่กล้าแจ้งความ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ขอแจ้งว่าสำนักพระราชวังไม่เคยเรียกเก็บเงินค่าใดๆ



โดยผู้ต้องหาให้การภาคเสธ ซึ่งการก่อเหตุ ผู้ต้องหาเคยติดตามพระผู้ใหญ่ ในวัดจากภาคเหนือ รับกิจนิมนตร์ในกรุงเทพ และขณะบวชเป็นเณร ได้เปลี่ยนวัดไปหลายแห่งในภาคเหนือ หลังจากประพฤติไม่เหมาะสม พอต้องคดีฉ้อโกง และ พรบ.คอมพิวเตอร์ จึงหนีไปอยู่รวมกับแก๊งคอลเซนเตอร์ใน

คุณอาจสนใจ