แม่หนีลูกเมายาอาละวาด ช็อก! กลับมาอีกทีไฟไหม้บ้านวอด เหตุสูบบุหรี่ทิ้งก้นทั่วบ้าน

ลูกชายเมาเอะอะโวยวาย แม่หนีไปอยู่บ้านเพื่อน ลูกอยู่บ้านคนเดียวดูดบุหรี่ทิ้งก้นมั่ว ไฟไหม้บ้านวอดทั้งหลัง



เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 18 สิงหาคม 2566 พ.ต.อ.สมมาตย์ มั่งไธสง ผกก.สภ.แวงน้อย นำเจ้าหน้าที่ ศพฐ.4 ขอนแก่น ลงพื้นที่ตรวจพื้นที่บ้านที่ถูกไฟไหม้

สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 17 สิงหาคม 2566 พ.ต.ท.ชูชาติ เทือกอุด สว.สอบสวนสภ.แวงน้อย รับแจ้งเหตุไฟไหม้บ้าน ม.5 บ้านโคกใหญ่ ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น เมื่อไปตรวจที่เกิดเหตุก็พบว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิง กำลังดับไฟที่กำลังลุกไหม้บ้านทั้งหลัง แต่ไม่ลุกลาม ประมาณ 30 นาที เพลิงจึงสงบ



ซึ่งบ้านหลังดังกล่าว เป็นบ้านของนางคำนาง อายุ 56 ปี ที่อาศัยอยู่กับนายณรงค์เดช อายุ 28 ปี ลูกชาย และหลานสาววัย 6 ขวบ



ผกก.สภ.แวงน้อย กล่าวว่า ช่วงที่เข้ามาตรวจที่เกิดเหตุ ขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้นั้น พบนายณรงค์เดช ลูกชายเจ้าของบ้านกระโดดจากหน้าต่างชั้น 2 ลงมาที่ด้านล่าง โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด



จากการสอบสวน มารดา ทราบว่า ลูกชายเมาสุรา และน่าจะมีการเสพยาบ้าด้วย จนมีอาการเมา อาละวาดไปทั่วละแวกบ้าน เพื่อนบ้านจึงคุมตัวให้สงบสติอารมณ์ จากนั้นก็พาลูกชายกลับมาที่บ้าน



แต่ลูกชายยังมีอาการเมาหนัก พูดจาไม่ดี มารดาจึงไปอยู่กับเพื่อนบ้าน ที่บ้านจึงมีเพียงลูกชายนอนอยู่ชั้นสองเพียงคนเดียว ผ่านไปนานนับชั่วโมงก็มีเสียงลูกชายโวยวาย และมีเสียงคล้ายคนทุบสิ่งของ จากนั้นไม่นานก็มีไฟลุกขึ้นที่ชั้นสอง มารดาจึงรีบวิ่งกลับมาที่บ้าน



พบไฟลุกท่วมที่ชั้นสองบริเวณใกล้บันไดขึ้นลงบ้าน จึงตะโกนให้ลูกชายวิ่งมาทางหลังบ้าน หนีออกมาทางหน้าต่าง จนลูกชายปลอดภัย



จากการสอบสวน ลูกชาย ยอมรับว่า ดื่มสุราจนเมา กลางคืนขึ้นไปนอนบนบ้าน แล้วม้วนบุหรี่สูบไปหลายมวน แล้วโยนก้นบุหรี่ทิ้งไปทั่ว โดยไม่คิดว่าจะเกิดไฟลุกไหม้



เมื่อไฟลุกไหม้ จึงใช้เสื้อผ้าดับไฟ แต่ไฟได้ลุกลามไหม้เสื้อผ้าและที่นอนบนบ้าน จนควบคุมไม่ได้ ก่อนกระโดดลงมาจากชั้นสองของบ้านหนีตาย



หลังตำรวจตรวจที่เกิดเหตุและสอบถามมารดา และ ลูกชาย คาดว่า เหตุไฟไหม้บ้านครั้งนี้มาจากการทิ้งก้นบุหรี่ไปทั่ว จนเกิดไฟไหม้บ้าน จึงควบคุมตัวนายณรงค์เดชลูกชายเจ้าของบ้าน ไปดำเนินคดีในข้อหา กระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย



ส่วนความเสียหายครั้งนี้ ประเมินเบื้องต้นคาดว่าประมาณ 1 ล้านบาท ตอนนี้เจ้าของบ้านต้องอาศัย นอนที่บ้านญาติในหมู่บ้านไปก่อน