เลือกตั้งและการเมือง

“ชูวิทย์” แฉ บ.อสังหาฯ ตั้ง แม่บ้าน -รปภ. เป็นนอมินี ให้กู้เงินพันล้าน เงินทอน 435 ล้านหายปริศนา

โดย paranee_s

15 ส.ค. 2566

67 views


วันนี้ (15 ส.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดแถลงข่าว ภารกิจแฉเพื่อชาติ ep.2 ปั่น บวม ตัดตอน โดยทันทีที่เดินเข้ามา ได้เดินมาพร้อมกับนายวรัญชัย โชคชนะ ที่สวมปีบคลุมศีรษะเขียนว่า “นายกฯดิจิตอล” ก่อนที่จะนำภาพของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งขึ้นสไลด์ และอธิบายว่า ที่ดินแปลงนี้ เป็นที่ดินที่หรู เพราะเป็นที่ตั้งของคอนโดหรูที่สุดในประเทศไทย โดยคอนโดสร้างเสร็จแล้วตั้งใจกลางทองหล่อ


จากนั้นก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอน “บวม” “ปั่น” และ “ตัดตอน” ว่าที่ดินแปลงนี้เป็นมาอย่างไร พร้อมยืนยันว่า วันนี้มาพูดเรื่องบุคคลที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่เกี่ยวเรื่องการเมือง พรรคเพื่อไทยสามารถเสนอบุคคลอื่นได้ ผมไม่มีข้อมูล ตนเป็นเพียงประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ได้


พร้อมระบุว่รวันนี้เป็นวันเกิดของตนเอง ก็ขอปฏิบัติภารกิจ แฉเพื่อชาติ ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่เรียกว่า” ปั่น” ก็คือ ปั่นที่ดิน “บวม” ก็คือการบวมเงิน และ “ตัดตอน” โดยกระบวนการก่อนที่จะมาเป็นคอนโดมิเนียม K นี้ เริ่มมาจากที่ดินแปลงทองหล่อ 12 โดยมี 10 โฉนด แบ่งเป็นคอนโด K จำนวน 9 โฉนด


พร้อมอธิบายว่า ที่ดินแปลงนี้ก่อนจะสร้างคอนโด เดิมถือโดยบริษัทจริง ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ถือหุ้น 4 คน คนละ 25% โดยจดจำนองไว้กับธนาคาร 465 ล้านบาท


จากนั้น วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 58 บริษัทนอมินี ซื้อ จากบริษัทจริงในราคา 565 ล้านบาท คือมาจากเงินทุนจดทะเบียน 100 ล้าน และ เงินที่ต้องปลดจำนอง 465 ล้าน


โดยบริษัทนอมินี มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น 3 คน คือ นางสาว พ. เป็นแม่บ้าน (ไม่มีอาชีพ) ถือหุ้น 99.99% จากการตรวจสอบประวัติพบว่าเป็นชาวจังหวัดมหาสารคาม และไม่พบประวัติการเสียภาษี ส่วนนาย ส. และ นาย พร. เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทหนึ่ง อีกคนละ 0.0001% ซึ่งทั้งคู่เป็นชาวจังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด


โดยการจะซื้อบริษัท ต้องไปกู้เงินจากบริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง โดยบริษัทให้กู้ 1,000 ล้านบาท และนิติกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 58 จากนั้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ก็นำเงินของประชาชน ซึ่งเป็นเงินที่ซื้อหุ้นบริษัทจำนวน 1,000 ล้านบาท ไปซื้อบริษัทจากกลุ่มนอมินี ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรมกับกลุ่มผู้ถือหุ้น ก่อนจะซื้อและสร้างคอนโด K. ใจกลางทองหล่อ


ชูวิทย์ ตั้งคำถามว่า แล้วมีการกู้ 1,000 ล้านบาท แต่เอาไปซื้อเพียง 565 ล้านบาท ส่วนต่าง 435 ล้านบาทหายไปไหน ซึ่งนี่เป็นกระบวนการปั่น บวม และ ตัดตอน โดยอธิบายว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์สามารถซื้อที่ดินจากบริษัทจริงได้ แต่ใช้วิธีตั้งบริษัทนอมินี เข้ามาซื้อแทน โดยที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งถือว่าเป็นการตัดตอน ส่วน นางสาว พ. เป็นตัวปั่น ขายที่ดินต่อให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เป็นราคา 1,000 ล้านบาท ทำให้ราคาที่ดิน บวมขึ้น เป็น 957.55ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่ไม่ใช่ 1,000 ล้าน เพราะ ขายแค่ 9 โฉนด เหลือไว้ 1 โฉนด


นายชูวิทย์ กล่าวว่า หลังจากมีการซื้อขายที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทนอมินีได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจาก น.ส. พ. เป็น นาย ย. ในวันที่ 24 พ.ค.2560 เพื่อให้สถานะบริษัทถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นการตัดตอนการสืบสวนเส้นทางการเงินผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง


และนายชูวิทย์ กล่าวว่า ทั้งนี้นายเศรษฐา เป็นหนึ่งในกรรมการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และ บริษัทลูก โดยนายเศรษฐาจะอ้างว่าเป็นคนเซ็นอย่างเดียวหรือเปล่าไม่รู้ และกล่าวว่าหากเป็นนายกฯ ก็จะเซ็นอย่างเดียวหรือเปล่าไม่รู้ เพราะบุคคลต่าง ๆ เหล่านี้เป็นนอมินีของคุณนั่นเอง


นายชูวิทย์ ตั้งข้อสังเกตว่าในวันที่ 11 ก.พ.2558 มีการทำธุรกรรมด้านธุรกิจพร้อมกันถึง 3 รายการ ประกอบด้วย

1.สัญญาหนังสือจำนองที่ดิน บ.นอมินี 465 ล้านบาท

2.สำเนาการเปลี่ยนบัญชีผู้ถือหุ้น เป็นนอมินี 3 คน เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท และ

3.เอกสารให้กู้เงินของบริษัทลูกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไปให้บริษัทนอมินี 1,000 ล้านบาท ซึ่งนายชูวิทย์ ต้องข้อสังเกตว่าโดยปกติแล้วการทำธุรกรรมทางด้านธุรกิจจะไม่เกิดขึ้นแบบนี้ในวันเดียวกัน


พร้อมตั้งข้อสังเกตบุคคลเหล่านี้ เป็นคนของคุณหรือเปล่า ถ้านายเศรษฐา ขึ้นเป็นนายกฯเมื่อไหร่ ต้องให้คนขายกล้วยแขก คนขายลูกชิ้น ไปสีลม ทองหล่อ และชี้ซื้อที่ดินแปลงนั้นแปลงนี้ โดนไม่ต้องเช็กเครดิต และสามารถให้กู้ได้ 1 พันล้านเลยหรือ ช่วงหนึ่งนายชูวิทย์ กล่าวว่า นายเศรษฐาตั้งบริษัทดิจิตอลรอไว้ และให้ใครให้ถือไว้ก่อนหรือไม่


โดยระบุว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นแค่ตัวอย่าง นอกจากที่ทองหล่อ ข้ามไปสุขุมวิทตอนต้น เสร็จแล้วก็สุขุมวิทอ่อนนุช อันนี้ธรรมดา แต่ตอนนี้ มีการตั้งบริษัทเมืองนอกมาถือหุ้น ให้เงินกู้ เงินก็ไปต่างประเทศทันที จากที่ตามร่องรอยไปถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยบุคคลคนนี้ คือคนสำคัญข้างกายนายเศรษฐา ซึ่งในวงการรู้จักกันดี คือ Mr.T หรือ ทศ หรือก็คือ ชื่อขงเบ้ง ส่วนรายละเอียดของนายขงเบ้งให้ติดตาม ตอนต่อไป


จากนั้น นายชูวิทย์ ทำทีโทรศัพท์ เลียนแบบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โทรหานายทักษิณ แล้วพูดว่า “ฮัลโหล ๆ นายครับ เรื่องใหญ่แล้วล่ะครับ เศรษฐาโดนแฉ มันให้รปภ. กับแม่บ้านกู้พันล้าน งานนี้ไอ้เบ้งมันได้เงินมา แล้วมันไปแบ่งใคร ฉิบหายแล้ว”


บางช่วงคุณชูวิทย์หยิบเอกสาร ซึ่งเป็นคำฟ้องขึ้นมา โดยเป็นคำฟ้องที่นายชูวิทย์ ฟ้องนายเศรษฐา และนายวิญญัติ ทนายความ จำเลยที่ 2 ร่วมกันฟ้องเท็จ หมิ่นประมาท และตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล


โดยในคำฟ้องนี้จะไปยื่นต่อศาล แต่ไม่ต้องห่วง ตนคิดค่าเสียหาย 90,000 บาทไม่ถึง 500 ล้านบาท โดยคิดวันละ 10,000 บาทตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม วันที่ฟ้อง ถึงวันพรุ่งนี้


และมีการบอกว่า สว. ถ้าได้รับข้อมูลจากตนแล้ว เชิญโหวตเลยครับ เชิญเลยครับผมไม่มีอำนาจวาสนา ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ตนจะเตรียมยื่นต่อ กลต. เพื่อตรวจสอบ พร้อมทั้งจะยื่นให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อประกอบการตัดสินใจในโหวตนายกฯ ซึ่งเชื่อมั่นว่าข้อมูลชุดนี้จะถูกขยายผลไม่ว่าด้านการเมืองหรือด้านอื่น ๆ ก็ตาม พร้อมทั้งยืนยันว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่พูดนั้นเป็นข้อเท็จจริง ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ตนพร้อมสู้จนถึงชั้นฎีกา ศาลในศาลนั้น ผมสู้กับคุณยันศาลฎีกา ผมพร้อมจะฉีดยาฆ่ามะเร็งเพื่อที่จะอยู่สู้กับคุณ


นายชูวิทย์ ยังระบุว่า การแฉครั้งนี้ เป็นการแฉเพื่อชาติครั้งสำคัญ ซึ่งการแฉครั้งสำคัญนี้ ได้ถึงจุดหมายปลายยทางเมื่อนายเศรษฐา ไม่ผ่านการโหวตนายกฯ ไม่ว่าในวันที่ 18 ส.ค.หรือ 22 ส.ค. ซึ่งภารกิจแฉเพื่อชาติของตนก็จะจบลงโดยทันที


เหตุผลที่กระบวนการทั้งหลายที่มาต่อรองช่วง 1-2 วันนี้ เป็นการต่อรองให้ตนเงียบให้หยุด ไม่ให้แฉ เพื่อแลกการกับไม่แฉเรื่องของตัวเอง เช่น เรื่องทรัพย์สมบัติ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ล้วนเป็นการต่อรองทั้งสิ้น


นายชูวิทย์ กล่าวว่า การที่มาแฉเรื่องนายเศรษฐา เพราะว่า เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องแลก ซึ่งตนแลกกับผลประโยชน์ของรัฐ


โดยหลังจากการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้นำเค้กมาเซอร์ไพรซ์วันเกิดให้กับคุณชูวิทย์ ก่อนที่คุณชูวิทย์จะกล่าวขอบคุณและบอกว่าวันเกิดปีนี้ อาจจะเป็นวันเกิดปีสุดท้ายที่ได้ฉลองวันเกิด

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ