เลือกตั้งและการเมือง

‘ปิยบุตร’ ข้องใจ ‘ก้าวไกล’ ยังไม่ประกาศเป็นฝ่ายค้าน - ‘พิธา’ โผล่สภา แจงยังไม่พิจารณาโหวตนายกฯเพื่อไทย

โดย petchpawee_k

11 ส.ค. 2566

522 views

'ปิยบุตร' ข้องใจ ทำไมก้าวไกล ยังไม่ประกาศเป็นฝ่ายค้าน ย้ำไม่ต้องเจรจาหวังได้เป็นรัฐบาล ขีดเส้นให้ชัดระหว่าง “อดีต-อนาคต” ต่อสู้ตามแนวทางของตนต่อไป  


เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “สถานการณ์ชัดเจนขนาดนี้ ทำไมพรรคก้าวไกลยังไม่ประกาศจุดยืนเป็น “ฝ่ายค้าน” อย่างทระนงองอาจ

พรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้ง 14.4 ล้านเสียง มี ส.ส. 151 คน มาเป็นลำดับที่หนึ่ง พรรคก้าวไกลจึงต้องทำหน้าที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเสนอให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามอาณัติที่ประชาชนมอบหมายผ่านการเลือกตั้ง

คณะแกนนำของพรรคก้าวไกลได้ทำหน้าที่นี้อย่างสุดความสามารถ รวบรวมเสียงได้ 312 เสียง แต่ด้วยความผิดปกติของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้วุฒิสภาเลือกนายกรัฐมนตรี กระบวนการนิติสงคราม และการสมคบร่วมมือกันของชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจในระบบทั้งหมด ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็น “แกะดำ” ไม่สามารถเป็นแกนนำหรือร่วมรัฐบาลได้


พูดง่ายๆ ก็คือ หากรัฐบาลหน้ามีพรรคก้าวไกล ย่อมไม่มีวันได้ “ใบอนุญาต” จัดตั้งรัฐบาล เสียงซุบซิบ ข้อความในการเจรจาในที่ลับ (ที่ไม่เคยเอามาบอกสาธารณชนในที่แจ้ง) สัญญาณและการแสดงออกของทุกพรรคการเมือง และ ส.ว.หลายคน ทั้งหมดนี้ เป็นประจักษ์พยานอย่างชัดแจ้ง

การแสดงออกของพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคอื่นๆ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า “ไม่มีก้าวไกล”


ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ทั้งฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกล และฝ่ายไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ต่างก็มองออกว่า พรรคก้าวไกลโดน “รุม” จากทุกสารทิศ จนหมดหนทางได้เป็นรัฐบาลแล้ว


ประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลมา หรือไม่ได้เลือกแต่อยากเห็นพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล ต่างก็ “เข้าใจ” อย่าง “ไม่เต็มใจ” ถึงสถานการณ์นี้ และยอมรับว่าพรรคก้าวไกลได้ทำหน้าที่ของตนเองถึงที่สุด พร้อมทั้งฉีกหน้ากากของชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจออกมาให้ได้รู้เห็นกันหมดแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพรรคก้าวไกลจึงไม่แถลงแสดงจุดยืนเสียทีว่า บัดนี้ พรรคก้าวไกลต้องเป็นฝ่ายค้าน และจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างดีที่สุด ใช้เสียง 151 เสียง ใช้เสียง 14.4 ล้าน ผลักดันการทำงานในสภาตามแนวนโยบายที่หาเสียง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน

ไม่ต้องรับคำร้องขอ ไม่ต้องรับคำเจรจา ไม่ต้องหวังว่าจะมีแสงริบหรี่รำไรให้ได้กลับมาร่วมรัฐบาลอีก ไม่ต้องเล่นเกม “ชักเย่อ” ชิงไหวชิงพริบกับพรรคอื่นๆ ตั้งใจเดินหน้าทำงานในสภาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องยุ่งกับ “เกมการเมือง” ชิงไหวชิงพริบเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลของใครทั้งนั้น


ปล่อยให้พวกเขาแย่ง “เศษเนื้อ/ชามข้าว” กันต่อไป ขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่าง “เก่า-ใหม่” และ “อดีต-อนาคต” ต่อสู้ตามแนวทางของตนเองต่อไป นำภารกิจที่ประชาชนมอบหมายเดินหน้าผลักดันตามอำนาจ โอกาส ช่องทางที่พอจะมี พร้อมเผชิญหน้ากับภัยจากทุกสารทิศที่จะกระหน่ำเข้ามา หนทางนี้ พรรคก้าวไกล อาจไม่เหลือใคร แต่อย่างน้อยที่สุด ยังมีประชาชนผู้ดุจดังผนังทองแดงกำแพงเหล็ก


พอได้แล้ว กับความคลุมเครือ พอได้แล้ว กับการปล่อยให้ ส.ส.แสดงออกกันเอง โดยไม่มีมติพรรคหรือการแถลงการณ์ทางการของพรรค การเล่นบท “เหยื่อ” ผู้ถูกรุมกระทำ กระตุ้นให้ประชาชนเห็นใจและเข้าใจในบางช่วงตอน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนจะเริ่มเบื่อ รำคาญ และรู้สึกว่าอ่อนแอ ไม่ชัด ไม่สู้ ไม่กล้าหาญ


กล้าที่จะยอมรับว่าสู้จนสุดทางแล้ว แต่พ่ายแพ้ในเกมนี้ กล้าที่จะยืนกับประชาชน และต่อสู้ต่อไปตามแนวทางของตน การเมืองแบบมวลชน เริ่มต้นแล้ว และจะเด่นชัดมากขึ้น ปล่อย “พวกอดีต” สู้ในเกมแบบเขาไป แล้ววันหนึ่ง พวกเขาจะถูกกวาดหมดจนตกกระดาน เราคือ “พวกอนาคต” ต้องเคียงข้างหรือนำมวลชนไปในเกมใหม่ เป็นผู้นำของพลังแบบใหม่ในสังคมไทย  วันนี้ ยังแพ้ แต่วันหน้า จะชนะ”

---------------------------

 'พิธา' ปรากฏตัวที่สภา หลังหายไป 2 สัปดาห์ แวะโรงอาหารซื้อไอศกรีมกะทิใส่ลอดช่อง ย้ำยังไม่พิจารณาโหวตนายกรัฐมนตรีฯ จากเพื่อไทย ขอดูรายละเอียด-ให้ สส.ลงพื้นที่ฟังเสียงประชาชน ประกอบการตัดสินใจ หากสงสัยเพิ่มจะถาม ‘อุ๊งอิ๊งค์’ เผยศาล รธน. ยังไม่เรียกแจงปมหุ้นสื่อ ส่วนคดียุบพรรคให้ฝ่ายกฎหมายดูคำร้อง เชื่อคัดค้านได้


เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางมาที่อาคารรัฐสภาครั้งแรก หายไปนาน 2 สัปดาห์ โดยบอกว่า มาให้กำลังใจเพื่อน สส. ในพรรค เนื่องจากวันนี้มีรายงานเข้าที่ประชุมสภาหลายเรื่อง เช่น เรื่อง กสม. ที่ สส.ก้าวไกล อยากจะอภิปรายจำนวนมาก หากอยู่ที่อื่นการจะให้กำลังใจมันต้องใช้วายฟายเข้ามา แต่มาอยู่ที่นี่ใช้แค่บลูทูธก็ถึง และเมื่อมาถึงสภาจึงได้มาโรงอาหาร เพราะอยากกินไอศกรีมร้านโปรด รวมถึงน้ำมะพร้าวปั่น


ส่วนที่เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา แกนนำพรรคเพื่อไทยไปพูดคุยกับพรรคก้าวไกล เพื่อขอเสียงสนับสนุนในการโหวตเลือกนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ขณะนี้ยังรักและให้อภัยพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ก็รับฟังกัน อย่างที่ได้พูดกับสื่อสั้นๆ ไปแล้วว่าเป็นการสื่อสารและรับฟังกันทั้ง 2 ฝ่าย ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากไปกว่านั้น ถ้าฝั่งเพื่อไทยหรือก้าวไกลมีคำถาม ก็จะนัดเจอกันเรื่อยๆ


ส่วนจะมีโอกาสที่พรรคก้าวไกลโหวตนายกฯ ให้กับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า ยังรับฟังกันก่อน คงต้องรอดู further question (คำถามเพิ่มเติม) พรรคก้าวไกลก็อาจจะสอบถามกลับไป แต่ถ้าเป็นสาระสำคัญจริงๆ ก็ต้องรับฟังกัน และคิดให้รอบคอบ


เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยอยากให้มีการตั้งรัฐบาลแบบสลายขั้ว แล้วโหวตนายกฯ เพื่อปิดสวิตช์ สว. มองเรื่องนี้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ก็ยังรับฟัง และตั้งใจฟัง หากฟังแล้วมีคำถามต่อก็จะถาม น.ส. แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กลับไป ว่าหมายความว่าอย่างไร ซึ่งตนคิดว่าในสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ต้องฟังมากกว่าอย่างอื่น และต้องดูว่าสถานการณ์จะทำอะไรให้มันคลี่คลายไปได้บ้าง ตนมองว่ามีปัจจัยที่ต้องคิดรอบคอบหลายเรื่อง โดยยึดหลักการเป็นสำคัญ และยึดในสิ่งที่เราเคยสัญญาไว้ตอนหาเสียง ซึ่งจะอธิบายได้ว่ามีหลักประกอบการพิจารณาอย่างไรบ้าง และต้องฟังประชาชน


 เมื่อถามถึงเสียงของประชาชนในโซเชียลที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ออกมาแสดงความเห็นไม่ต้องการจะโหวตให้พรรคเพื่อไทย นายพิธา กล่าวว่า ไม่ใช่แค่ในโซเชียล แต่ตนได้ย้ำให้ สส. ลงพื้นที่ด้วย อยากฟังเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง เพราะด้วยความที่เป็นผู้แทนราษฎร ก็หมายความว่าคนที่มีอำนาจจริงๆ คือราษฎร สส.จึงต้องลงพื้นที่ถามประชาชนว่าคิดเห็นอย่างไร เวลาตัดสินใจอะไรยากๆ เราตัดสินใจเองก็ยากอยู่ แต่ถ้าคิดไม่ออกก็ต้องกลับไปหาประชาชน ประชาชนพูดว่าอย่างไรก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีน้ำหนักประกอบการจัดสอนใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้อยู่ในกระบวนการตัดสินใจให้รอบคอบ เพื่อมาวินิจฉัยและพิจารณา


เมื่อถามว่าจะถึงขั้นฟรีโหวตหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาคิด


 เมื่อถามว่า หนักใจหรือไม่ หากไม่มีรัฐบาล จะไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ได้ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นหนึ่งในประเด็นที่ต้องรับฟังและพิจารณา เพราะในช่วง 4 ปีที่ผ่านมามีความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำนวนมาก แต่ละคนโหวตอะไรไว้ก็เห็นอยู่ ถ้าเราเอาองค์ประกอบของคนที่เคยขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาบอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันก็มีความขัดแย้งกันอยู่ จึงเป็นหนึ่งในประเด็นที่ต้องซักถามพูดคุยกันเพื่อหาความชัดเจน


เมื่อถามว่า ตอนนี้น้ำหนักการโหวตเลือกนายกฯ ของพรรคก้าวไกลไปทิศทางไหน นายพิธา กล่าวว่า ขณะนี้เป็นเรื่องของการรับฟังอย่างเดียว ต้องฟังและคิดอย่างรอบคอบ ตนคิดว่าตอนนี้ยังมีเวลา ทำไมต้องรีบขนาดนั้น


นายพิธายังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกรณีการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป หากรัฐสภาไม่เห็นชอบแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เพราะไม่ต้องการที่จะแสดงความคิดเห็นที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานพรรคเพื่อไทย ซึ่งต้องการให้พรรคเพื่อไทยได้ทำงานอย่างเต็มที่ หากวันโหวตผลออกมาเป็นอย่างไรก็พร้อมที่จะให้ความคิดเห็นอีกครั้งหนึ่ง เพราะหากการพูดอะไรออกไปก่อนเมื่อมีน้ำหนักก็ต้องระมัดระวัง และชี้แจงว่าการที่ สส. พรรคก้าวไกลสอบถามความเห็นเกี่ยวกับการโหวตนายกรัฐมนตรีจากประชาชนในโซเชียลมีเดียนั้น ไม่ได้เป็นการฟ้องประชาชน


หัวหน้าพรรคก้าวไกลยังกล่าวถึง กรณีหากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สามารถเสนอชื่อนายพิธาในรอบที่สองได้ว่า จะต้องรอดูคำสั่งศาลก่อนแต่ในข้อเท็จจริง ตามข้อบังคับที่ 41 หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็สามารถที่จะเสนอชื่อตนเองได้ เช่น หากมีการเสนอชื่อ ประกบคู่แข่งขันกันระหว่างตนเองกับคนอื่น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอคำสั่งศาลสามารถต่อสู้กันได้เลย เชื่อว่าโอกาสที่จะเสนอชื่อยังมีอยู่ ซึ่งต้องดูเวลาที่เหมาะสมและในตอนนี้จึงทำหน้าที่ได้เพียง เป็นกำลังใจให้กับ สส.ของพรรคก้าวไกล ที่ทำงานอยู่ พร้อมกับเตรียมลงพื้นที่หาเสียงการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดระยอง


และยังระบุว่าเมื่อตีความตามตัวอักษร หากมีคู่แข่งก็สามารถที่จะเสนอชื่อตนเองได้ เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันในตอนนี้ก็ต้องให้เกียรติกับพรรคเพื่อไทยด้วยที่พรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อไปแล้ว แต่ว่าเป็นคนละเรื่องที่จะโหวตหรือไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย โดยเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา เพียงรับฟังความเห็นจากแกนนำพรรคเพื่อไทยเท่านั้น


 นายพิธา ยืนยันว่าไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แล้วเข้าสภา เพราะวันนี้ตอนเข้าก็ได้นำบัตรประชาชนไปแลก ไม่ได้ใช้สิทธิ์สส. วันนี้มากินข้าวตามปกติ เพื่อให้สส.พรรคก้าวไกลอุ่นใจว่าหัวหน้าไม่ได้ทิ้ง ยังฟังคำอภิปรายของพวกเขาอยู่ และเป็นกำลังใจในการทำงานให้กับพวกเขา พร้อมกับโชว์บัตรให้ผู้สื่อข่าวเพื่อยืนยัน


เมื่อถามว่าหากสุดท้ายแล้วพรรคก้าวไกลได้เป็นฝ่ายค้าน การตรวจสอบจะเข้มข้นอย่างไร นายพิธาระบุว่า "แน่นอนหน้าที่ใครหน้าที่มัน แต่อยากจะบอกว่าถ้าเป็นฝ่ายบริหาร จะทำงานได้เข้มข้นกว่า ต้องการที่จะเป็นฝ่ายบริหารที่ทำงานด้วยข้อมูล และรวดเร็ว ให้ได้ผลลัพธ์มากที่สุด และเปลืองภาษีประชาชนให้ได้น้อยที่สุด ใช้งบประมาณไม่ตรงกับความท้าทายของยุคสมัย


ฉะนั้นใครที่เคยประทับใจการทำงานเมื่อตอนที่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งตอนนี้ก็ต้องตามมารยาททางการเมืองให้พรรคเพื่อไทยจัดไปก่อน สักวันหนึ่งหากเปลี่ยนใจ อยากให้คนรุ่นใหม่ ได้ลองทำงานลองดูซิว่าจะเป็นอย่างไร ตนก็พร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มที่ เพราะคิดมาอย่างถี่ถ้วนพอสมควร ได้ศึกษาวิธีการแก้ไขปัญหาของแต่ละประเทศมา อยากจะทำงานให้เห็นว่าประเทศไทยไปไกลได้มากกว่านี้ ฉะนั้นหากประทับใจ ความเข้มข้นของฝ่ายค้าน ถ้าเป็นรัฐบาลเข้มข้นกว่าแน่นอน"



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/UyUt0HCctWc


คุณอาจสนใจ

Related News