เลือกตั้งและการเมือง

'อดิศร' ขอโทษพูดพาดพิงก้าวไกล ย้ำยังหนุน 'พิธา' เป็นนายกฯ - 'ชลน่าน' ยันจบศึกประธานสภาฯ ก่อนวันโหวต

โดย nattachat_c

23 มิ.ย. 2566

274 views

วานนี้ (22 มิ.ย. 66) นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รู้สึกดีใจ ที่ได้กลับมาสภาอีกครั้ง ในรอบ 17 ปี พร้อมกล่าวถึงกรณีที่พูดพาดพิงพรรคก้าวไกล ในงานสัมนา ส.ส.พรรคเพื่อไทย วันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่า เป็นการพูดคุยกันภายในของพรรค และทุกครั้งก็แลกเปลี่ยนประเด็นกันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นการถกเถียงแบบประชาธิปไตย ถกเถียงกันแบบเอาเป็นเอาตาย


โดยเฉพาะประเด็น ประธานสภา มี ส.ส. 140 คน ได้ ข้อมูลไม่ตรงกัน ก่อนหน้านี้บอกว่า พรรคก้าวไกล ได้รัฐมนตรี 14 ตำแหน่ง บวกนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคเพื่อไทย 14 ตำแหน่ง บวกประธานสภาฯ หากเป็นเช่นนั้นก็มีความสุข ต่อมา ยกประธานสภาฯ ให้พรรคก้าวไกล โดยไม่สอบถาม ส.ส. จึงมีการถกเถียงกันรุนแรง


และหากพาดพิงถึง พรรคก้าวไกลก็ต้องกราบขอโทษ โดยหลังจากนี้คนที่มีหน้าที่เจรจาต้องไปพูดกับพรรคก้าวไกล ถึง ความรู้สึกของ สมาชิกเพื่อไทยว่า เกือบ 100% มีความคิดเห็นลักษณะนี้ ไม่อยากให้ตำแหน่งประธานสภาเป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล โดยภาวนาขอให้เจรจาจบลงโดยเร็ว อย่าลืมว่าคะแนนเสียงนั้นห่างกันไม่มาก และหากถกเถียงกันแล้ว ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ตามประเพณีก็ต้องใช้ที่ประชุมเป็นที่ตัดสิน เพราะที่นี่ไม่ใช่สภาฯของพรรคใดพรรคหนึ่ง และไม่มีพรรคใดได้เสียงเกินครึ่ง แต่ถ้ามติของที่ประชุมพรรคเพื่อไทยให้เลือกพรรคก้าวไกลเป็นประธานสภา ตนเองจะแสดงบทบาทในที่ประชุมอีกครั้ง


พร้อมขอให้ผู้สนับสนุนของทุกพรรค อยู่ในสถานที่ตั้งที่มั่นคง อยากให้ทุกคนใจเย็น พร้อมย้ำว่า ฉันทามติที่มอบให้พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย อยากให้เป็นเหมือนปาท่องโก๋ ติดกันตลอด เพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ต้องมีนายกรัฐมนตรี ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ให้ได้


อย่างไรก็ตาม ถ้าที่ประชุมพรรคมีมติเป็นอย่างไร ตนเองก็พร้อมทำตาม แต่จะต้องเป็นมติที่ผ่านการถกเถียงในพรรคอย่างสมเหตุผล ผู้บริหารพรรคหรือตัวแทนพรรค ไม่ใช่เจ้าของพรรค ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน


ส่วนความกังวลเรื่องสมาชิกพรรษาน้อยจะมาทำหน้าที่ประธานไม่ได้นั้น นายอดิศร บอกว่า เป็นเพียงภาษิต อีสาน ที่เปรียบเทียบให้สติ ว่า จะเอาสามเณร พระบวชใหม่ มาเป็นเจ้าอาวาสไม่ได้ แต่ความจริง ส.ส. ทุกคนสามารถเป็นประธานสภาได้ เพราะประชาชนเลือกมาแล้วถือเป็นคำพิพากษาที่ยิ่งใหญ่
-------------

นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงตำแหน่งประธานสภาระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ว่าไม่ขอออกความคิดเห็น เพราะได้พูดไปแล้ว พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลต้องจับมือกัน ซึ่งการแข่งขันจบไปแล้ว ตั้งแต่ 14 พฤษภาคม ซึ่งเชื่อว่าคณะทำงานของว่าที่รัฐบาลจะพูดคุยกันรู้เรื่อง เพราะเป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น


ส่วนกรณีที่นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พาดพิงพรรคก้าวไกลเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯ นายเศรษฐา ระบุว่า นายอดิศรก็ออกมาขอโทษแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ทุกอย่างพูดคุยกันได้ โตๆ กันแล้ว เป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น คนเราอยู่กันก็เหมือนลิ้นกับฟัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่มีให้กัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา มั่นใจว่ามีทางออกได้ และทุกพรรคก็แฮปปี้ ไม่มีใครเสีย จับมือกันตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย

ส่วนกรณีพรรคเล็กร่วมจัดตั้งรัฐบาลออกมาให้ความเห็น และขอให้สองพรรคใหญ่เร่งจัดการปมประธานสภาฯ เพื่อลดรอยร้าว รวมถึงระบุว่าถ้าหากประธานสภา ยังตกลงกันไม่ได้ แล้วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะตกลงกันได้อย่างไร นายเศรษฐา บอกว่าไม่มีหรอก ตนมั่นใจว่าสองพรรคใหญ่คุยกันรู้เรื่อง

--------------
เมื่อวานนี้ (22 มิ.ย.) ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การสัมมนาส.ส.เพื่อไทย เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. เป็นกระบวนการรับฟังความเห็นส.ส. โดยจะนำข้อมูลที่ได้ไปประกอบความเห็นอื่นๆ และประมวลว่าอะไรเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน และพรรค เพื่อตัดสินใจ ถ้าทุกอย่างยังไม่ลงตัว อาจต้องคุยส่วนตัวกับสมาชิกที่ยังเห็นต่าง คนที่เห็นต่างถือเป็นกุศลเจตนา ด้วยความหวังดีต่อพรรค ไม่มีวาระซ่อนเร้นอื่น


“เท่าที่ดูคงไม่ถึงขั้นต้องเปิดฟรีโหวตในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร แนวทางสุดโต่งเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ต้องหาวิธียืดหยุ่นเข้าหากัน อาจจะต้องไปพูดคุยด้วยหลายเหตุผลกับพรรคก้าวไกล อาจต้องโยกหรือปรับเงื่อนไขที่เคยคุยกันไว้เล็กน้อย ยังไม่รู้จะปรับอย่างไร เป็นเรี่องที่คณะเจรจาจะไปพูดคุยกัน อะไรที่มันตึงมาก อาจต้องขยับนิดหน่อยก็ลงตัว” นายสุทิน กล่าว


เมื่อถามว่าจะถึงขั้นให้พรรคก้าวไกลยอมสละตำแหน่งประธานสภาหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับพรรคก้าวไกล ถ้าเขายืนยันหลักการเดิม แล้วเราเห็นว่าจะไปไม่ได้ ก็ต้องมาพูดคุย ปรับลดอะไรลงได้หรือไม่ ชุดเจรจาบอกว่า มีทางลงตัวได้ ทุกอย่างจะลงตัวก่อนๆ วันโหวตประธานสภาแน่นอน ในวันโหวตทุกอย่างจะลงตัวด้วยดี


เมื่อถามว่าแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลายคนแสดงความเป็นห่วง หากพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลตกลงเรื่องตำแหน่งประธานสภาไม่ได้ จะเกิดปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลตามมา นายสุทิน กล่าวว่า เชื่อว่าทุกคนก็คำนึงถึงเรื่องนี้ว่าหากสิ่งที่อยากได้ ทำให้เจอทางตัน แต่ถ้าเรายืดหยุ่นเล็กน้อยก็ทำให้เดินต่อไปได้ ถ้าคุยกันแล้วน่าจะไปต่อได้


ผู้สื่อข่าวถามว่าหากพรรคเพื่อไทย มีมติเรื่องการโหวตประธานสภาออกมา แต่ส.ส.ขอใช้เอกสิทธิ์ส่วนตัวในการโหวต จะทำอย่างไร นายสุทินกล่าวว่า พรรคเคารพเอกสิทธิ์สมาชิก แต่เราต้องทำความเข้าใจให้ทุกคนใช้เอกสิทธิ์ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน และพรรค แม้จะลงมติลับ แต่ผลโหวตที่ออกมาต้องเป็นประโยชน์


ส่วนการจะเสนอชื่อนายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แข่งชิงประธานสภากับพรรคก้าวไกลนั้น นายสุทิน กล่าวว่า เชื่อว่าคงไม่เกิดขึ้น คนที่ถูกเสนอชื่อเป็นผู้ใหญ่ คงมีวิธีแก้ปัญหา การจะเสนอชื่อใครเป็นประธานสภา ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวที่ต้องอยู่ในที่ประชุม ทุกอย่างต้องยึดแนวทางพรรค เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะมีแนวทางออกที่ดี ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล และกระทบการตั้งรัฐบาล

--------------
เมื่อวานนี้ (22 มิ.ย.) นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ข้อสรุปเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องรอคุยระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล แต่ขั้นตอนขณะนี้เป็นเพียงกระบวนการภายในของเพื่อไทยเท่านั้นที่เปิดให้แสดงความคิดเห็น เพื่อนำไปเจรจาพูดคุยกับพรรคก้าวไกล แต่ยอมรับว่า มีความเห็นส่วนใหญ่ของพรรคเพื่อไทยต้องการให้เสนอขอตำแหน่งประธานสภาฯ สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับการหารือของทั้งสองพรรค ส่วนจะเป็นข้อขัดแย้งจนบานปลายถึงไม่นั้น เพื่อไทยระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง


ส่วนกรณีที่นายอดิศร เพียงเกษ ย้ำว่า เพื่อไทยต้องให้ความสำคัญกับความรู้สึกของ ส.ส.พรรคนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เพื่อไทยมีหลักการในการทำงานและแคร์ความรู้สึกของทุกฝ่าย โดยอันดับหนึ่งคือประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยที่มอบอำนาจมาให้เรา อันดับสองคือสมาชิกและ ส.ส.ในพรรค และสุดท้ายคือ พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน


ส่วนกรณีที่ ส.ส.เพื่อไทย ยืนยันว่า หากตำแหน่งประธานสภาฯเป็นของพรรคก้าวไกล จะขอใช้เอกสิทธิ์งดออกเสียง นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญ ส.ส. มีเอกสิทธิ์คุ้มครองในการแสดงความคิดเห็นและลงมติ แต่ในระบบพรรคการเมือง ต้องมีการพูดคุยกัน และต้องยึดหลักเสียงข้างมาก ซึ่งจะต้องมีข้อสรุปในระบบพรรคการเมือง เมื่อเพื่อไทยมีความเห็นต่างก็ต้องหามติร่วมให้ได้ก่อนที่จะไปพูดคุยหรือเจรจากับพรรคก้าวไกล และตนเชื่อว่า ส.ส.เพื่อไทยมีวินัย เมื่อพรรคมีมติแล้วจะทำตามมติ


เมื่อถามว่า ถ้ามีการเสนอชื่อนายสุชาติ ตันเจริญ เป็นประธานสภาฯ จะต้องมีการพูดคุยกับพรรคก้าวไกลอย่างไรบ้าง นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จะไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ เกิดขึ้น ต้องมีการพูดคุยให้จบในพรรค


เมื่อถามว่า จำเป็นจะต้องให้นายสุชาติสละสิทธิ์หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราไปละเมิดสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคนไม่ได้ แต่ทั้งนี้การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับตัวนายสุชาติ และเราไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคนที่จะเสนออะไรขึ้นมา แต่เราขอให้ยึดหลักมติพรรค แต่ตนก็ไม่รู้ว่าเสียงข้างมากจะออกมาอย่างไร และการเจรจากับพรรคก้าวไกลจะออกมามุมใด อาจจะมีข้อมติที่ดีก็ได้


เมื่อถามถึงกรณีที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ระบุ รองประธานสภาฯคนที่สองควรจะเป็นของพรรคอันดับ 3 นั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หลักการ ขอให้พรรคแกนนำเป็นผู้พิจารณา เพื่อไทยก็เสนอในมุมของเพื่อไทย เพราะก้าวไกลได้ 151 เพื่อไทยได้ 141 ขณะที่ประชาชาติได้ 9 เสียง ซึ่งเสียงห่างกันมาก ในลักษณะแบบนี้ต้องยึดถือปฏิบัติที่เป็นมาหรือไม่ ที่จะต้องเกลี่ยไปพรรคอันดับหนึ่งอันดับสองอันดับสาม ซึ่งในส่วนของคณะเจรจาของเพื่อไทยมองว่า คะแนนห่างกันออกมา จึงเสนอให้พรรคอันดับสอง ได้ตำแหน่งรองประธานสภาฯทั้ง 2 คน ส่วนก้าวไกลจะรับหรือไม่ และก้าวไกลจะคุยกับนายวันมูหะมัดนอร์อย่างไร ก็เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล


เมื่อถามว่า เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และนายวันมูหะมัดนอร์ ออกมาเตือนว่า หากพรรคก้าวไกลเคลียร์ปัญหาประธานสภาฯไม่จบ คนที่จบเห่คือ พรรคฝ่ายประชาธิปไตย จะถึงขั้นนั้นหรือไม่ นพ.ชลน่าน มองว่า ไม่ถึงขั้นนั้น แต่ขอบคุณในความปรารถนาดีของทั้งสองท่าน ทั้งสองคนเป็นผู้มีประสบการณ์เห็นภาพการเมืองมานาน เพื่อไทยในฐานะทีมเจรจาและเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มั่นใจว่า สิ่งที่คนหวั่นไหวหรือคาดการณ์จะไม่เกิดขึ้น เราต้องจบในพรรคก่อนที่จะเจรจากับก้าวไกล และทั้งสองพรรคต้องจบก่อน ที่จะประชุมสภาฯนัดแรกเพื่อโหวตเลือกประธานสภาฯ

---------------

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ฌพสต์เฟซบุก ระบุข้อความว่า


สื่อมวลชนถามมาทุกทิศทาง ขอตอบตรงนี้


เรื่องประธานสภา ผมเห็นด้วยกับหลักการของทีมเจรจาพรรรคเพื่อไทย คือประธานเป็นของพรรคอันดับ 1 หลักคิดคือ คะแนนน้อยกว่า แต่ใจไม่ได้เล็กกว่า แพ้ให้คม แล้วสร้างชัยชนะขึ้นใหม่


แต่จะให้วิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทย หรือพี่น้องในพรรคที่เห็นต่าง ผมไม่ทำ เพราะเราเพิ่งผ่านศึกสำคัญ บาดเจ็บมาด้วยกัน และผมเป็นคนหนึ่งในทัพใหญ่ ย่อมต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา


เป้าหมายใหญ่อยู่ที่การตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย และจะตั้งได้ 2 พรรคหลักต้องจับมือกัน จะด้วยเหตุใดก็ตามหากนำมาสู่การแตกหักแยกทางถือว่าผิด ซึ่งประชาชนจะตัดสินในที่สุด


คณะเจรจา 2 พรรคต้องหาข้อยุติกันให้ได้ก่อนวันเลือกประธานสภา ถ้าฟรีโหวตฝ่ายรัฐบาลเดิมจะแทรกเข้ามา แต่ละก้าวเต็มไปด้วยกับดัก ฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย  แต่ถ้าแพ้ทางการเมือง โดยเพื่อไทย ก้าวไกลไม่ได้ตั้งรัฐบาล หรือ 2 พรรคแตกกัน ชัยชนะของประชาชนจะลับหาย


ผมคงขัดตา ขัดใจเพื่อนมิตรหลายคนในเรื่องนี้ แต่ด้วยความปรารถนาดี เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันรุ่งเรือง ทุกครั้งพรรคมีเรื่องผมก็ไม่เคยถอยหนี


เพื่อไทยอาจได้หรือไม่ได้เก้าอี้ตัวใด แต่ต้องไม่สูญเสียเก้าอี้ในหัวใจประชาชน

---------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/Eh06LHi4_DE

คุณอาจสนใจ

Related News