สังคม

ปิดตำนานโจรยุคY2K! สืบนครบาลรวบ “ไข่เล็ก” เซียนตีนแมว ย่องกวาดทรัพย์สินกว่า 2 ล้าน

โดย paranee_s

17 มิ.ย. 2566

166 views

“ไข่เล็ก” น้องคนเล็กแห่ง “สี่พี่น้องไทยสยาม” ตำนานแก๊งตีนแมวเลื่องชื่อแห่งยุคสมัย Y2K กวาดทรัพย์ไปรวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 29 ล้าน ล่าสุดพ้นโทษออกมาเมื่อปลายปี 65 แต่ยังคง “ลุ่มหลง” ในเส้นทางสายโจร ตระเวนก่อเหตุย่องเข้าบ้านประชาชนไม่ต่ำกว่า 5 หลังคาเรือนกวาดทรัพย์สินไปรวมไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท


ซึ่งครั้งนี้มีการพัฒนารูปแบบการก่อเหตุจนเป็น “ตีนแมวขั้นเซียน” ก่อเหตุอย่างแนบเนียน รู้ช่องทางการหลบหลีกเจ้าหน้าที่อย่างทะลุปรุโปร่ง สร้างความยากลำบากให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ในการค้นหาพยานหลักฐานเป็นอย่างมาก ซึ่งพยานหลักฐานเกือบทุกคดีที่ นายศราวุธ ก่อเหตุในปัจจุบัน เรียกได้ว่า “เบาบาง” แม้เจ้าหน้าที่จะใช้ความพยายามสุดความสามารถแล้วก็ตาม


กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ที่เกิดเหตุได้รายงาน “ความแสบ” ของคนร้ายรายนี้ให้กับเบื้องบน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงได้ส่ง พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หน.PCT ชุดที่ 5 พร้อม “ทีมสืบสวนระดับพระกาฬ” ลงพื้นที่สืบสวนติดตาม ตีนแมวขั้นเซียน รายนี้เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้


หากแต่เงื่อนไข “สุดหิน” คือ คนร้ายรายนี้ “ไม่มีหมายจับ” จะต้องจับกันแบบ “คาหนังคาเขา” เท่านั้น นำมาสู่ปฏิบัติการของ พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ในการตามติดชีวิตของตีนแมวขั้นเซียนรายนี้ จนท้ายสุดชุดสืบสวน ทราบสถานที่จะก่อเหตุ “ล่วงหน้า” จนนำมาการจับกุมแบบ “คาหนังคาเขา”


โดยเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายศราวุธ หรือ ไข่เล็ก อายุ 46 ปี กล่าวหาว่า “ลักทรัพย์ ในเคหสถาน ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า” ถูกจับกุมขณะที่กำลังก่อเหตุได้บริเวณริมถนนบางเอียน ต.หอรัตนไชย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมของกลาง ไขควง , อุปกรณ์การงัดแงะ และเงินสด (ต่างประเทศ) ที่ขโมยมา


สืบเนื่องจาก “จอมโจรไขควงเดียว” แผนประทุษกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแก๊งตีนแมว “สี่พี่น้องไทยสยาม” ซึ่งเป็นที่เลื่องชื่อในยุคสมัย Y2K ซึ่งในยุคสมัยดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างระดมสรรพกำลังสืบสวนติดตามเป็นเวลานานกว่าจะสามารถจับกุมได้ กล่าวย้อนกลับไปห้วงสมัย พ.ศ.2549 ได้เกิด “แก๊งตีนแมว” ออกอาละวาดก่อเหตุ “ย่อง” เข้าไปขโมยของในบ้านของประชาชนในพื้นที่ กรุงเทพฯและปริมณฑลโดนกันแบบรายวัน กวาดทรัพย์ไปรวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 29 ล้านบาท


โดยกลุ่มคนร้ายมีแผนประทุษกรรมที่มี เอกลักษณ์เฉพาะคือจะใช้เพียง “ไขควงเดียว” ในการงัดแงะเข้าไปในบ้านที่ก่อเหตุ และมีเทคนิคเฉพาะคือ “บนลงล่าง” กล่าวคือจะปีนขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นงัดกระเบื้องมุงหลังคา แล้วสอดตัวลงไปใต้หลังคา เปิดฝ้าเพดาน แล้วหย่อนตัวลงไปขโมยทรัพย์สิน และที่เป็นที่น่าจดจำคือหลังก่อเหตุ คนร้ายกลุ่มนี้จะใช้ชีวิต กินหรู อยู่สบาย มีบ้านหรู สลัดคราบ “ตีนแมว” ออกไปได้อย่างสิ้นเชิง


ซึ่งในห้วงปลายปี พ.ศ.2549 เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถจับกุมแก๊งตีนแมวแก๊งนี้ได้ คือ “สี่พี่น้องตระกูลไทยสยาม” ซึ่งต่อมาก็ได้เข้ารับโทษในเรือนจำและพ้นโทษกลับมาเข้าสู่สังคม แต่ นายศราวุธ หรือ “ไข่เล็ก” น้องเล็กของทั้งสี่พี่น้องยังคง “ลุ่มหลง” ในเส้นทางสายโจร ออกบินเดี่ยวด้วยวิชาความรู้ความชำนาญที่มากขึ้น จนมาถูกจับกุมอีกครั้ง เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 55 ในพื้นที่ สภ.ปากช่อง


และครั้งพ้นโทษออกมาก็ยังมั่นคงในเส้นทางสายเดิม จนมาถูกจับกุมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 61 ในพื้นที่ สภ.เมืองสุพรรณบุรี เรียกได้ว่า เส้นทางสายโจรได้ฝังไปอยู่ใน DNA ของ นายศราวุธ ไปแล้ว


โดยล่าสุด นายศราวุธฯ ได้พ้นโทษออกมาเมื่อปี 65 ก็ยังตระเวนก่อเหตุไม่เลิกรา แต่ในครั้งนี้ ตัวนายศราวุธฯ มีการพัฒนารูปแบบการก่อเหตุจนเป็น “ตีนแมวขั้นเซียน” ก่อเหตุอย่างแนบเนียน รู้ช่องทางการหลบหลีกเจ้าหน้าที่อย่างทะลุปรุโปร่ง สร้างความยากลำบากให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ในการค้นหาพยานหลักฐานเป็นอย่างมาก ซึ่งพยานหลักฐานเกือบทุกคดีที่ นายศราวุธฯ ก่อเหตุในปัจจุบัน เรียกได้ว่า “เบาบาง”


ดังนั้นชุดสืบสวนของ พล.ต.ต.ธีรเดชฯ เฝ้าติดตามพฤติกรรมจนเห็นทุกฝีก้าวของตีนแมวขั้นเซียนรายนี้ โดยชุดสะกดรอยติดตามต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ารายนี้ “สุดติ่ง” ซึ่งไม่ใช่โจรระดับทั่วไป เพราะทุกฝีก้าวมีความละเอียดรอบคอบ มีความรู้วิชาโจร แต่เป็น “ระดับเซียน” มีความละเอียดรอบคอบ มีความรู้วิชาโจรขั้นสุด


การออกล่าคัดเลือกจุดที่จะก่อเหตุของคนร้าย จะเลือกสถานที่ก่อเหตุที่มีลักษณะเป็น “อาคารพาณิชย์” แบบเก่าซึ่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่คนพลุกพล่าน เช่นตลาดหรือตัวอำเภอ โดยอาคารต้องมีประตูทางเข้าด้านหลัง และมี “ตรอก” และที่สำคัญคือ “ต้องไม่มีคนอยู่”


เมื่อเจอจุดที่ถูกใจจะทำการ “เฝ้าดู” ดูนับกล้องวงจรปิดทุกตัวในเส้นทาง จำลองและซักซ้อมเส้นทางก่อน-หลัง ก่อเหตุ และหากมีสิ่งสะกิดใจเพียงเล็กน้อยก็จะไม่ลงมือ เรียกได้ว่า “ไม่ 100% ไม่ก่อเหตุ” และคนร้ายยังมีเทคนิคการตัดช่องทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ทำให้ปฏิบัติการกินระยะเวลาต่อเนื่องหลายวัน ชุดสืบสวนที่เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อว่า “จะก่อเหตุเมื่อไร”


กระทั่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของปฏิบัติการ วันที่ 15 มิ.ย. 66 คนร้ายได้ออกดูลาดเลาเลือกจุดที่จะก่อเหตุอีกครั้ง เฉกเช่นวันอื่นๆ หากแต่วันนี้คนร้าย “เอาจริง” ชุดสืบสวนพบลางบอกเหตุพฤติกรรม ดื่มเบียร์บิ้วอารมณ์เฝ้ารอเวลา และขับรถวนเวียนจุดที่จะก่อเหตุหลายครั้งเกินกว่าปกติ


กระทั่งเวลา ถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดิน คนร้ายมีการอำพรางตัว ก่อนเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เข้าไปสู่ตัวเมืองใน จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนหายเข้าไปใน “ตรอก” แห่งหนึ่ง ซึ่งชุดสืบสวน “มั่นใจ” ว่าจะมีการก่อเหตุเกิดขึ้น นำกำลังปิดล้อมอาณาบริเวณดังกล่าว หลังจากหายเข้าไปในตรอกกว่า 1 ชั่วโมง กระทั่งวันที่ 15 มิ.ย. 66 เวลา 21.00 น. คนร้ายเดินออกมาจากตรอกมีท่าทีร้อนรน เหงื่อแตก และ “กระเป๋ากางเกงตุง” ชุดปฏิบัติการจึงเข้าชาจน์คนร้ายในทันที


ผลการตรวจค้นตัวพบ “ไขควง” และอุปกรณ์การงัดแงะ อีกทั้งพบทรัพย์สินที่พึ่งจะขโมยมาสดสด คนร้ายยอมจำต่อเจ้าหน้าที่ว่าพึ่งก่อเหตุมา ก่อนนำเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบบ้านที่ตกเองพึ่งก่อเหตุมาเป็น อาคารพาณิชย์แบบเก่าแห่งหนึ่ง ต.หอรัตนไชย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา


โดยชั้นจับกุมชุดจับกุมได้แจ้งข้อหา “ลักทรัพย์ ในเคหสถาน ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า”


นายศราวุธ ไทยสยาม ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมได้เดินทางมาอาศัยเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ หลังจากจบปริญญาตรีได้ทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แต่เห็นว่าได้เงินน้อยและไม่พอใช้ จึงเดินทางเข้าสู่สายตีนแมว โดยเริ่มขโมยจากของเล็กๆ น้อยๆ เรื่อยมาจนมีชื่อเสียงชื่อแก๊งว่า “แก๊งไทยสยาม” ซึ่งมาจากนามสกุลเดียวกันเพราะทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน


จนวันหนึ่งประมาณปี 2548-2549 ตนได้เข้าไปขโมยของในบ้านย่านยานนาวาได้ทรัพย์สินต่างๆ รวมหลายล้านบาท โดยเป้าหมายของการเข้าขโมยคือ เงิน ทอง เครื่องเพชรและพระที่มีมูลค่า จากการขโมยครั้งนั้นตนได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ติดตามตนจนเจอทำให้ตนและพี่ๆ ของตนอีกสามคนถูกจับกุมด้วย


ซึ่งหลังจากถูกจับก็เข้าไปอยู่ในเรือนจำได้เรียนรู้ความผิดพลาดต่าง ๆ และเมื่อได้พ้นโทษออกมาแล้วก็ยังติดนิสัยเดิม จึงไปก่อเหตุอีกและถูกจับอีก 2 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งก็ได้เรียนรู้วิชามากขึ้นเรื่อยๆ และการก่อเหตุครั้งนี้ ตนคิดว่าได้เตรียมการก่อเหตุเป็นอย่างดี เพราะตนได้มีวิธีการหลบเลี่ยงหลายอย่าง ซึ่งวิชาที่กล่าวมาตนได้วิชามาจากที่ตนได้ติดคุกอยู่ในเรือนจำ ตนเคยติดคุกมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ครั้งนี้คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาถูกจับแบบคาหนังคาเขาแบบนี้ รู้สึกงงมาก


และขอให้คำมั่นต่อตำรวจชุดจับกุมว่าหากพ้นโทษออกมาแล้ว จะไม่ก่อเหตุอีกเพราะไม่อยากติดคุกอีกแล้ว โดยเตือนไปยังประชาชนว่าหากไม่อยากถูกขึ้นบ้านต้อง เลี้ยงหมา และไม่เก็บทรัพย์สินไว้ในบ้าน”


พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “คนร้ายรายนี้ไม่เหมือนอาชญากรทั่วไป เพราะมีความรู้ ความชำนาญและทักษะในการก่อเหตุที่สูงเกินอาชญากรทั่วไปมาก เนื่องจากก่อเหตุมาอย่างโชกโชนเป็นเวลาต่อเนื่องตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น แม้ถูกจับกุมไปถึง 3 ครั้งแล้ว พ้นโทษมาก็ยังก่อเหตุอยู่เช่นเดิมอีก ทำจนเป็นสันดาน เป็นอาชญากรโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ถือเป็นภัยสังคมอย่างยิ่ง”

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ