ตำรวจควบคุมตัวอาสาทหารพรานนาวิกโยธินคลั่งยิงปืนระบายอารมณ์ ขังตัวเองในบ้าน

เมื่อเวลา 14.30 น.ของวันนี้ พ.ต.อ.สุรพร เทพเสน ผกก.สภ.โคกสูง ได้รับแจ้งจากกำนันตำบลโนนหมากมุ่น ว่ามีชายคุ้มคลั่งยิงปืนทำลายข้าวของ พอได้รับแจ้งจึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ณัฐพล ชนะศุภกาญจน์ รอง ผกก.ป.สภ.โคกสูงพร้อมด้วย พ.ต.ท.ชินวงศ์ แท่นดี สวป.สภ.โคกสูง นำกำลังตำรวจของ สภ.โคกสูง ได้ประสาน ร.ต.อ.บุญเลิศ เรืองหิรัญ หัวหน้าชุดสวาทของภูธรจังหวัดสระแก้วนำกำลังตำรวจรุดที่เกิดเหตุบ้านในหมู่ 1 ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นร้านขายของชำในกลางหมู่บ้านผู้ก่อเหตุปิดประตูขังตัวเองอยู่บ้าน


ตำรวจได้กระจายกำลังปิดล้อมเอาไว้ก่อนเนื่องจากผู้ก่อเหตุมีอาวุธปืนและให้ญาติทั้งแฟนและบ้านเจรจาอยู่เกือบ 1 ชม.ผู้ก่อเหตุจึงยอมมอบตัว ทราบชื่อว่านายสุทธิพงษ์ อายุ 33 ปี อส.ทพ.นย.อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พร้อมของกลางปืนพกขนาด 9 มม.ได้ออกไปแล้วจำนวน 2 นัด ตำรวจได้นำตัวไปสงบสติที่ สภ.โคกสูง เพื่อสอบปากคำผู้ก่อเหตุในครั้งนี้


นางชุติการ อายุ 38 ปี พี่สาวเมียของผู้ก่อเหตุ เล่าว่าน่าจะเกิดมาจากความเครียด ประกอบกับดื่มสุราเข้าไปด้วยจึงได้เกิดมีปากเสียงกับภรรยา ซึ่งภรรยากลัวจึงได้หลบหนีจากบ้านไป จากนั้นได้โวยวายเรียกให้ตนเข้าไปหาผู้ก่อเหตุ ถามเชื่อใจผมไหม จากนั้นได้ชักปืนออกมา เมื่อตนเห็นเช่นนั้นจึงได้จับมือผู้ก่อเหตุกดลงปืนลั่นไกรขึ้น 2 นัด ตนตกใจจึงรีบหนีออกจากที่เกิดเหตุทันทีจากผู้ก่อเหตุปิดประตูบ้านขังตัวเองอยู่ภายในบ้านจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาควบคุมตัวไปที่สภ.โคกสูง


ร.ต.อ.บุญเลิศ เรืองหิรัญ หัวหน้าชุดสวาทของภูธรจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า หน่วยปฏิบัติการชุดสวาทได้รับประสานมาจาก สภ.โคกสูง จึงได้นำตำรวจจำนวน 20 นาย เพื่อระงับเหตุพอมาถึงที่เกิดเหตุผู้เหตุยังขังเองอยู่ภายในบ้านจึงได้นำกำลังปิดล้อมที่เกิดเหตุไว้ก่อนเพื่อเจรจา แต่ไม่เป็นผลจึงให้เพื่อนบ้านที่สนิทกันมาช่วยเจรจาเกือบ 1 ชม.จึงยอมออกมามอบตัวทราบผู้ก่อเหตุได้ยิงปืนและอาละวาด


พ.ต.ท.ณัฐพล ชนะศุภกาญจน์ รอง ผกก.ป.สภ.โคกสูง กล่าวว่า ได้สอบปากคำ นายสุทธิพงษ์ อายุ 33 ปีให้การรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุเนื่องจากมีปากเสียงกับภรรยาตนบันดาลโทสะจึงได้ยิงปืนระบายอารมณ์ เนื่องจากตนมาอาศัยภรรยาอยู่ไม่มีญาติแถวนี้ตนเป็นคนจังหวัดยโสธรมาเป็น อส.ทพ.นย.ที่จังหวัดจันทบุรี ได้ตั้งข้อหาผู้ก่อเหตุยิงปืนในที่สาธารณะและพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะไม่มีเหตุอันควรเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป