โฆษกตำรวจท่องเที่ยว ยัน อำนวยความสะดวกประชาชนซึ่งถือเป็นหน้างานตามปกติ

โฆษก ตำรวจท่องเที่ยว ยัน การอำนวยความสะดวก เป็นหน้างานที่ทำให้กับทุกคน 

จากกรณี เพจ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ คลิปหนึ่งที่มีการระบุว่า เป็นการอำนวยความสะดวกจากนายตำรวจให้กับทนายตั้ม ซึ่งบุคคลทั่วไปไม่สามารถทำได้

ทีมข่าวอาชญากรรม ช่อง 3 สอบถามไปที่ พล.ต.ต. อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท. ในฐานะโฆษก ตำรวจท่องเที่ยว ระบุว่าได้รับรายงานถึงกรณีดังกล่าวแล้วและมีการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปเก่าที่เกิดขึ้นในห้วงสองปีที่ผ่านมาเนื่องจากในคลิปปรากฏบุคลากรตำรวจนายหนึ่งซึ่งพบว่าเพิ่งมีการย้ายสังกัดมาบรรจุที่กองบังคับการหนึ่งได้ในช่วงสองปี ซึ่งขอยืนยันว่า เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นก่อนที่จะมีเหตุการณ์ตำรวจนำขบวนให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นข่าวโด่งดังช่วงที่ผ่านมา ส่วนเรื่องการอำนวยความสะดวก ตนเองตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้สองประเด็นคือหนึ่งมีการประสานขอความอนุเคราะห์ให้อำนวยความสะดวกมาจากตัวทนายตั้ม หรือสองเจ้าหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวพบเห็นและอำนวยความสะดวกซึ่งถือเป็นหน้างานตามปกติ ที่ตำรวจท่องเที่ยวทำอยู่เป็นประจำทุกวันให้กับทุกบุคคลหากพบว่ามีผู้โดยสารรายใดติดขัดปัญหาหรือพบเรื่องเร่งด่วนที่อาจส่งผลให้ขึ้นเครื่องไม่ทันก็จะมีการอำนวยความสะดวกในการช่วยถือกระเป๋าหรือช่วยเปิดทางในการเดินทางให้ถึงยังเครื่องบิน

ซึ่งตนเองยังได้รับรายงานว่าในส่วนของทนายตั้มได้มีการเข้ามาตอบถึงกรณีดังกล่าวว่าเป็นการเดินทางไปส่งลูกความไม่ได้มีการเดินทางไปด้วยตนเองตนเองจึงเชื่อว่าน่าจะเข้าข่ายในประเด็นที่สองเรื่องของ การอำนวยความสะดวกของทางเจ้าหน้าที่ตามปกติ

   ส่วนที่คุณชูวิทย์มีการนำคลิปดังกล่าวมาโพสต์และกล่าวพาดพิงในการปฎิบัติหน้าที่ของทางตำรวจตนเองไม่ทราบเจตนาแต่มองว่าเป็นเรื่องข้อพิพาทระหว่างตัวคุณชูวิทย์และ ทนายตั้มไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางตำรวจแต่อย่างใด เพียงแต่ในคลิปปรากฏบุคลากรของตำรวจท่องเที่ยวจึงต้องมีการออกมาตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง ตนเองในฐานะโฆษกของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวยืนยันว่าตำรวจท่องเที่ยวพร้อมบริการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนทั้งคนต่างชาติและคนไทยไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะหรือต้องมีการประสานมาจากผู้ใหญ่แต่อย่างใดหากผู้โดยสารรายใดพบภาวะฉุกเฉินที่ต้องการความช่วยเหลือจากทางตำรวจท่องเที่ยวสามารถติดต่อตำรวจท่องเที่ยวภายในสนามบินได้ทันที ส่วนเรื่องข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะมีการตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้งต่อไป