เลือกตั้งและการเมือง
'พปชร.-ปชป.' รุมอัดแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น ด้าน 'เศรษฐา' ขอบคุณที่ช่วยพีอาร์ ชี้อีกฝ่ายโจมตีเพราะกลัวแพ้
โดย nattachat_c
11 เม.ย. 2566
55 views
มื่อเวลา 11.15 น. วานนี้ (10 เม.ย.) ที่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ว่า
ตนคิดว่ามีปัญหาร้ายแรงมาก จะทำให้เกิดปัญหาในข้างหน้า ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาด้วย เพราะการเสนอในลักษณะดังกล่าวเมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงต้องมีกฎหมายรองรับ แต่ปรากฏว่าไม่มีกฎหมายรองรับ เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับจะต้องนำเสนอกฎหมายเข้าสู่สภา ซึ่งการแจกเงินในลักษณะหว่านแหไปทั่วหมด ขนาดมหาเศรษฐี คนร่ำรวย คนมีงานมีการทำ มีเงินหลายแสนก็ได้เงินเหมือนกันหมด เป็นแนวทางที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในนโยบายของพรรคการเมือง
ทั้งนี้ กระบวนการที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นได้จะต้องเสนอกฎหมายในสภา เชื่อว่าจะได้รับการต่อต้านในสภาอย่างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และเชื่อว่าวุฒิสภาไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ซึ่งหากวุฒิสภาไม่เห็นด้วยกฎหมายนี้จะถูกยับยั้ง หรือหากผ่านไปเรื่องก็จะถึงศาลรัฐธรรมนูญ ก็คิดว่าศาลจะจะพิจารณาว่าไม่สามารถดำเนินการได้
การหาเสียงในลักษณะที่ไปตายเอาดาบหน้า ตนไม่เห็นด้วย จะเป็นการทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ในส่วนของ พปชร. เราเสนอเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีกฎหมายรองรับไว้ชัดเจน เป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ทุกคนในสังคมมีความประสงค์ที่อยากจะยกระดับให้บุคคลเหล่านั้นมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพื่อหลุดพ้นจากความยากจน ดังนั้น นโยบายของ พปชร.คือ ช่วยเหลือให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน ก้าวข้ามความยากจนให้ได้ เป็นการดำเนินการภายใต้กฎหมายที่รองรับทั้งสิ้น ซึ่งแตกต่างกัน
-------------
นายเกียรติ สิทธีอมร 1 ในทีมคณะกรรมการเศรษฐกิจของพรรค ปชป. กล่าวถึง กระแสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย โดยพรรคประชาธิปัตย์ ขอตั้ง 5 คำถามถึงนโยบายนี้ คือ
1. “พรรคการเมือง ต้องออกแบบนโยบายที่รับผิดชอบ” จึงตั้งคำถามว่าเงินมาจากไหน “ไม่ใช่วันนึงพูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง วันนึงบอก 5 แสนล้าน อีกวันบอกงบส่วนกลาง 30% ก็ 3 หมื่นล้านเอง ทุกอย่างมันไม่ตรง ซึ่งคำถามอยู่ที่กกต.พรรคการเมืองเสนอนโยบายแบบนี้ทำได้หรือไม่ โยนหินถามทางไปวันๆ และประชาชนที่ฟังมีข่าวดีจะทำอย่างไร ผลกระทบเป็นอย่างไร”
2. “พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เห็นด้วยกับการนำเงินภาษีประชาชนไปแจกคนรวย” เพราะในจำนวน 55 ล้านคน อาจมีคนต้องการความช่วยเหลือ 10-15 ล้านคน ส่วนที่เหลือ 35 ล้านคน เขาไม่ได้ต้องการเงินช่วยเหลือ แต่นำเงินภาษีไปช่วยเขา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าเป็นแบบนั้นเราไม่เห็นด้วย เพราะกลายเป็นเอาเงินภาษีไปช่วยคนที่มีรายได้เพียงพออยู่แล้ว จะอ้างกระตุ้นเศรษฐกิจฟังไม่ได้ เนื่องจากมีหลายวิธีที่จะทำ
3. “ทำไมต้องแจกคนอายุ 16 ปีขึ้นไป” ถ้าบอกจะช่วยนักเรียนที่ยื่นกู้เงินกยศ. เรายินดีและถือว่าตรงเป้า แต่หากไปช่วยนักเรียน ที่ขับรถไปโรงเรียน หรือ ช่วยนักเรียนคนที่พ่อแม่ไปส่งทุกวัน เราไม่เห็นด้วย เพราะเงินภาษีประชาชนได้มายาก จะนำไปใช้แบบนี้ไม่ได้
4. ภาษีมีจำกัด และ ภาระของประเทศมีเยอะ ฉะนั้นทุกบาททุกสตางค์ต้องเข้าเป้า ไม่ใช่กระจายแบบ “เบี้ยหัวแตก” จึงเสนอวิธีง่ายๆ คนไหนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร เอาเงินไปให้เขา 1 หมื่นบาท หรือ คนมีเงินในบัญชีไม่ถึง นำไปเติมให้ครบ 1 หมื่นบาท อันนี้ถือว่าตรงเป้าหมาย และวิธีนี้ง่ายกว่าหรือไม่ ถึงมือประชาชนด้วย โดยไม่ต้องผ่านกระเป๋าดิจิทัลของใครเลย และเงินตรงไปถึงคนที่ต้องช่วยจริงๆ
5. “ทำไมต้องเป็นเงินดิจิทัล” ซึ่งตนถึงบางอ้อ ว่า บริษัท แสนสิริซื้อหุ้น บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ (XPG) กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ จึงตั้งคำถามว่าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัทหรือไม่ เพราะ “วันที่ขายทรัพย์ดิจิทัลไปแจกประชาชนบริษัทนี้รวยทันที” อีกทั้งมีปัญหา ว่า ร้านค้าพร้อมหรือไม่รับเงินดิจิทัล รับแล้วไปขึ้นกับใคร และจะถูกลดค่าเงินหรือไม่ เพราะเงินดิจิทัลทั่วโลกเกิดความผันผวนมาก ถึงขนาดธนาคารในสหรัฐอเมริกาล้ม กระทบธนาคารพาณิชย์ในยุโรปหลายแห่ง จึงคิดว่าเหตุผลดีไม่พอ เห็นแต่ประโยชน์ของบริษัททรัพย์ดิจิทัล แต่ไม่เห็นประโยชน์ประชาชน และประเทศชาติในแนวทางนี้ ก็ขอให้ช่วยตอบ เพราะเป็นเรื่องใหญ่
นายเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย ว่า “หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตรงเป้า ใช้เงินน้อย ได้ผลมาก มีวิธีอื่นเยอะ แต่วิธีนี้ใช้เงินมาก ได้ผลน้อย”
-------------
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และกรรมการ เลขานุการ โฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ชี้แจงเพิ่มเติม 10 ประเด็น 'กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท' ดังนี้
1. กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ใช่คริปโตเคอเรนซี่ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็นเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไปในนั้น เพื่อนโยบายการคลังที่ตรงจุด สามารถเอามาแลกเป็นเงินบาทได้ทุกเมื่อ
2. เหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่มีความเสี่ยง ไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีการถูกทุบ ไม่มีการขาดทุน ไม่มีการสร้างมูลค่า ไม่สามารถแลกเปลี่ยนด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้ ไม่มีราคาตก-ราคาขึ้น เพราะทุกเหรียญมีค่าเท่าเงินบาทเสมอ รับประกันโดยรัฐบาล
3. กระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่มีผลกระทบใดๆทั้งสิ้นต่อความมั่นคงของระบบการเงิน ไม่เกี่ยวกับทุนสำรองระหว่างประเทศ เพราะไม่ใช่การสร้างสกุลเงินใหม่
4. กระเป๋าเงินดิจิทัล เงิน 10,000 บาท ลงถึงมือประชาชนทุกคน (16 ปี ขึ้นไป) ทุกบาททุกสตางค์ ใช้จ่ายจริง ซื้อของได้จริง ไม่มีการสูญหายของงบประมาณ ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรมตลอดเส้นทาง
5. กระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่ใช่กรณีเดียวกับ Bitcoin Luna USDT ตามมีผู้กล่าวอ้าง เหล่านั้นออกโดยเอกชนและมุ่งหมายเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน กระเป๋าเงินดิจิทัลคือเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไป ออกโดยรัฐบาล ไม่ใช่สกุลเงินคู่ขนานกับเงินบาท
6. กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนตามที่มีผู้กล่าวอ้าง ไม่เกี่ยวกับการซื้อบริษัท ไม่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ไม่เกี่ยวกับการลงทุน เป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่ได้อยู่บนฐานของข้อเท็จจริง ทั้งหมดใช้งบประมาณจากภาครัฐและโอนตรงถือมือประชาชนทุกคน (16 ปีขึ้นไป) ง่ายๆและตรงไปตรงมา
7. กระเป๋าเงินดิจิทัลกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหมู่บ้าน ระดับชุมชน ในตลาด สร้างธุรกรรมระหว่างรายย่อย ตรงข้ามกับวิธีเดิมที่ต้องซื้อในร้านใหญ่หรือกลุ่มทุน
8. กระเป๋าเงินดิจิทัล ใช้ระบบ Blockchain มีความปลอดภัยสูงสุด สูงกว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รู้เส้นทางการเงินทุกธุรกรรม รู้ผู้รับ รู้ผู้จ่าย เป็นระบบที่มีความโปร่งสูงสุด ตรวจสอบได้ทุกธุรกรรม
9. กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ปัจจุบันระดับกำลังซื้อของประเทศตกต่ำ เศรษฐกิจตกต่ำกว่าศักยภาพมาก สภาวะดังกล่าวไม่นำสู่เงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ได้ รวมทั้งกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถจัดสรรเงินจากงบประมาณ ไม่มีการขึ้นอัตราภาษีใดๆ
10. พรรคเพื่อไทยสนับสนุน Central Bank Digital Currency (CBDC) และเดินหน้าพัฒนาร่วมกันธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นแพลตฟอร์มเปิดสำหรับทุกคน เพื่อยกระดับระบบการเงินของประเทศเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล
-------------
'เศรษฐา ทวีสิน' นำทีมเพื่อไทย ตระเวนหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.กทม. ไม่หวั่นหลายพรรครุมโจมตี นโยบายเงินดิจิทัล หลังออกมาโดนใจชาวบ้าน กลัวแพ้เลือกตั้งระบุขอบคุณยิ่งช่วยพีอาร์ให้ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย ขอช่วยกันอย่าให้ใครมาด้อยค่า
ช่วงหนึ่งนายเศรษฐา ได้ย้ำนโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ให้กันคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป จะได้รับหมด ซึ่งก็มีเสียงปรบมือจากชาวบ้านที่ฟังการปราศรัย ก่อนถามว่าในครอบครัวมีกี่คนก็ได้รับกันหมด ดังนั้นถ้าครอบครัวมี 5 คนก็ 5 หมื่นบาท ในตามภูมิลำเนาตามบัตรประชาชน และต้องใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน ใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน โดยห้ามซื้อสิ่งของอบายมุข ซึ่งตนหวังว่าจะโดนใจประชาชน ตนคิดว่าโดนใจแน่นอน เพราะพรรคอื่นๆออกมาโจมตี นโยบายนี้อย่างเสียๆหายๆ เนื่องจากเขาคาดไม่ถึง ที่เราออกนโยบายนี้มาโดนใจประชาชน พร้อมขอบคุณทุกพรรคที่วิพากษ์วิจารณ์กันเยอะๆ เป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ผู้สมัครส.ส.ของพรรคเพื่อไทยด้วย
ช่วงหนึ่งที่ นายเศรษฐา ได้นั่งรถ 2 แถวแดง เดินทาง มาพบปะประชาชนและรับฟังความคิดเห็นการพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวติดแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่บริเวณท่าน้ำสรรพาวุธ ติดกับวัดบางนานอก โดยนายเศรษฐา ได้ย้ำนโยบายเงินดิจิทัล เป็นครั้งที่ 2 กับชาวบ้าน ว่า ที่ฝ่ายตรงข้ามออกมาโจมตี เพราะกลัวแพ้ พร้อมขอประชาชน อย่ายอมให้ใครมาด้อยค่านโยบายนี้
ทั้งนี้ เศรษฐา ได้กล่าวถึงกรณีที่นายเกียรติ สิทธีอมร คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาวิจารณ์โยบายินดิจิทัล 1 หมื่นบาท โดยตั้ง 5 คำถาม โดยเฉพาะประเด็นที่มาของเงิน ว่า เป็นเรื่องดี ที่มีการโจมตี จะได้อธิบายไปเรื่อยๆ ซึ่งยืนยันทุกเรื่องสามารถชี้แจงได้หมด และ ส่งรายละเอียดให้กกต.ไปแล้ว ส่วนที่มองว่า เป็นการแจกเงินแบบ “เบี้ยหัวแตก” นายเศรษฐา ย้ำว่า “ไม่ใช่เป็นการแจกพร่ำเพรื่ออะไรครับ ไม่เหมือนรัฐบาลปัจจุบัน แจกที 500 / 700 หรือ 1,000 บาท หยอดน้ำข้าวต้มไปเรื่อยๆ แต่เราแจกหนเดียว กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ ต้องทำให้ถูกจุด กระจายความเจริญไปยังหัวเมืองต่างๆด้วย”
ส่วนกรณีที่มีการโยงบริษัทแสนสิริ ว่าจะเชื่อมโยงกับนโยบายนี้นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ยิ่งไปกันใหญ่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย ตนไม่ห่วงเรื่องเหล่านี้เพราะสามารถชี้แจงได้ เมื่อมีการถามมาก็ตอบไป และประชาชนจะได้รับฟัง และเป็นผู้ตัดสินในวันที่ 14 พ.ค.นี้
-------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/Q2p68xyLPKM